นายประพันธ์ เจริญประวัติ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า ตลาดหลักทรัพย์ mai ยินดีต้อนรับ บมจ. อินเตอร์ ฟาร์มา เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “IP” ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2562
IP ดำเนินธุรกิจเป็นผู้แทนจำหน่าย และผู้พัฒนา คิดค้น ผลิตภัณฑ์สุขภาพและนวัตกรรมความงามสำหรับคน และผลิตภัณฑ์สุขภาพสำหรับสัตว์ แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพและชะลอวัย (Wellness and Anti–Aging Products) ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมความงาม (Aesthetic Innovation Products) ผลิตภัณฑ์ดูแลและส่งเสริมสุขภาพของสัตว์เลี้ยง (Companion Animal Health Products) และผลิตภัณฑ์สำหรับปศุสัตว์ (Livestock Products) มีสัดส่วนรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ของเจ้าของสินค้ารายอื่น : ผลิตภัณฑ์ของกลุ่มบริษัท ประมาณ 60 : 40 โดยบริษัทว่าจ้างโรงงานทั้งในและต่างประเทศผลิตสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัท อาทิ ผลิตภัณฑ์ Probac 7 และ Probac 10 เป็นต้น
IP มีทุนชำระแล้ว 103 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 160 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 46 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) เมื่อวันที่ 28–30 ตุลาคม 2562 ในราคาหุ้นละ 7.00 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 322 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,442 ล้านบาท มีบริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และ บมจ. หลักทรัพย์ เคทีบี (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายทรงวุฒิ ศักดิ์ชลาธร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. อินเตอร์ ฟาร์มา (IP) เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวคิดที่จะเป็นผู้นำในการคิดค้นและนำเสนอผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัยในการป้องกันรักษาโรค ช่วยชะลอวัยและมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งอยู่ในกระแสที่ผู้บริโภคหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ตลอดจนรองรับความต้องการของสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) โดยการเข้าจดทะเบียนใน mai ครั้งนี้ จะนำเงินที่ได้ไปชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
IP มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO คือ นายทรงวุฒิ ศักดิ์ชลาธร ถือหุ้น 51.12% การกำหนดราคาเสนอขาย IPO พิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E ratio) ซึ่งกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 7.00 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น P/E ที่ 53.85 เท่า โดยคำนวณจากผลประกอบการของบริษัทในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา (1 กรกฎาคม 2561–30 มิถุนายน 2562) ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 26.66 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.13 บาท ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้และหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามที่กฎหมายกำหนด โดยพิจารณาจากงบการเงินเฉพาะกิจการ