TU โชว์กำไรไตรมาส3 เติบโต 1,374 ล้านบาท

117

ผู้สื่อข่าว มิติหุ้น รายงานว่า นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/62 มีกำไรสุทธิ 1,374 ล้านบาท เทียบกับกำไรสุทธิ 1,310 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน  โดยมียอดขายลดลง 6.8% มาที่ 31,838 ล้านบาท เป็นผลจากกค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่น แต่หากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนเงิน ยอดขายประจำไตรมาสลดลง 1.3%  แต่ปริมาณการขายของบริษัทยังเข้มแข็งและเติบโต 3.8% จากธุรกิจอาหารทะเลแช่เยือกแข็งและแช่เย็นและผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า

ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 3/62 ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปมียอดขายอยู่ที่ 14,466 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าเนื่องจากราคาทูน่าที่ลดลง 17% และค่าเงินบาทแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในการค้าของโลก ส่วนธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นมีปริมาณการขายอยู่ที่ 73,084 ตันในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้น 15.2% อย่างไรก็ดี ด้วยราคาของกุ้งที่ลดลง 9.5% ยอดขายของธุรกิจอาหารแช่เยือกแข็งและแช่เย็นลดลง 2% อยู่ที่ 12,768 ล้านบาท แต่อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น ขณะที่ธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่ามียอดขายเพิ่มขึ้น 6.9% อยู่ที่ 4,604 ล้านบาท อีกทั้งปริมาณการขายเติบโต 2.6%

อย่างไรก็ตามกำไรขั้นต้นประจำไตรมาสอยู่ที่ 5,077 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น 15.9% เมื่อเทียบกับ 15.8% ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ส่วนผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติอยู่ที่ 4,200 ล้านบาท และความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้น  ท่ามกลางความผันผวนของค่าเงิน ขณะที่มีกำไรสุทธิ 2,759 ล้านบาท เทียบกับ 2,189 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในช่วงสามไตรมาสแรกของปี 62 ยอดขายจากทวีปอเมริกาเหนือมีสัดส่วนถึง 38% ยอดขายจากทวีปยุโรป 31%  ยอดขายจากประเทศไทย 13% และตลาดอื่นๆ 18%

ขณะที่สัดส่วนของยอดขายใน 9 เดือนแรกของปีนี้ เป็นสินค้าแบรนด์ของบริษัท 42% เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อนหน้า และที่เหลือ 58% เป็นการผลิตสินค้าให้กับลูกค้าบริษัทต่าง ๆ

“ผลิตภัณฑ์ที่หลายหลายของเราได้กระแสตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณการขายของเราเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3  อย่างไรก็ดี ตลาดสกุลเงินที่ผันผวนทำให้สินค้าส่งของจากประเทศไทยต้องเจอกับสภาวะความท้าทาย  ไทยยูเนี่ยนยังคงให้ความสำคัญกับความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เล็งผลถึงการเติบโตในระยะยาว และพัฒนาการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเพื่อลดแรงกดดันในแง่ของการทำกำไร”นายธีรพงศ์ กล่าว

นายธีรพงศ์ กล่าวว่า บริษัทยังลงทุนในนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ได้ประกาศตั้งแหล่งเงินทุน Venture Fund เพื่อลงทุนในนวัตกรรมเทคโนโลยีอาหาร เริ่มต้น 30 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยลงทุนครั้งแรกกับฟลายอิ้ง สปาร์ค ผู้ผลิตโปรตีนทางเลือก อีกหนึ่งโครงการนวัตกรรมได้แก่ SPACE-F ได้คัดเลือกสตาร์ทอัพ 24 บริษัทจากทั่วโลกเข้าโครงการ ภายหลังจากเปิดตัวความร่วมมือกับสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติและคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิด

ในไตรมาสที่ 3 นี้ บริษัทยังได้ประกาศนโยบายล่าสุดในการป้องกันห่วงโซ่การผลิตอาหารจากการปลอมปนอาหารโดยเจตนา ด้วยระบบการจัดการที่เข้มแข็งในการต่อสู้กับกลโกงอาหาร  ในส่วนของการทำงานร่วมกับชุมชน บริษัทได้เปิดศูนย์เตรียมความพร้อมเด็กก่อนวัยเรียนไทยยูเนี่ยนแห่งที่ 4 อย่างเป็นทางการ สำหรับเด็กข้ามชาติในจังหวัดสมุทรสาคร