‘มัณฑนา มาร์เก็ตติ้ง’ บริษัทในเครือบีเจซี จับมือ ‘สมุนไพรวังพรม’ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้า

448

มิติหุ้น – ‘มัณฑนา มาร์เก็ตติ้ง’ บริษัทในเครือบีเจซี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วม มือ (MOUกับสมุนไพรวังพรม’ ต่อเนื่องเป็นครั้งที่2 มุ่งสร้างความต่อเนื่องการจัดจำหน่ายสินค้า สมุนไพรวังพรม หวังขยายโอกาสการเติบโตทางธุรกิจแก่คู่ค้า เพิ่มความหลากหลายสินค้า

นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยว่า บริษัท มัณฑนา มาร์เก็ตติ้ง จำกัด บริษัทในเครือบีเจซี ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงกับบริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายสินค้า ตรา สมุนไพรวังพรม รายเดียวในประเทศไทย โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ทาง บีเจซี ได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้าในการเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้ารายเดียวในประเทศไทย ซึ่งเป็นการเซ็นสัญญาต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 2 (เป็นระยะเวลา 3 ปี) อันมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตทางธุรกิจให้แก่คู่ค้า

ทั้งยังมีวัตถุประสงค์ที่จะเพิ่มความต่อเนื่องในการจัดจำหน่ายสินค้าได้อย่างครอบคลุม ช่วยจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆจากสมุนไพรวังพรมที่จะเริ่มมีสินค้าใหม่ๆเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอมากขึ้น โดยเป็นผลมาจากกำลังการผลิตจากโรงงานใหม่ที่ทางสมุนไพรวังพรมกำลังก่อสร้างเพื่อให้การผลิตสินค้าได้มาตรฐาน GMP/PICS เข้ามาเสริมในปี2564 ตลอดจนเพิ่มทางเลือกความหลากหลายทางผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้า

นางสาววัชรีภรณ์ วังพรม ผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีและการเงิน บริษัท สมุนไพรวังพรม จำกัด กล่าวว่า จากความร่วมมือกันทางธุรกิจในครั้งนี้จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจของทั้ง บีเจซี และ สมุนไพรวังพรม เติบโตอย่างยั่งยืน โดยการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) อย่างต่อเนื่องในครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่สมุนไพรวังพรมมองเห็นถึงช่องทางการจัดจำหน่ายของ บีเจซี ที่มีศักยภาพ ซึ่งยอดขายสินค้าของบริษัทที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจ มีอัตราการเติบโตยอดขายสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมยอดขายของ สมุนไพรวังพรม ที่ได้รับการจัดจำหน่ายในช่องทางร้านขายยา และ โมเดิร์นเทรด ในปี 2561 ที่ผ่านมา อยู่ที่ 202 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2560 อยู่ที่ 176 ล้านบาท ส่วนในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายรวม อยู่ที่ประมาณ 215 ล้านบาท ตลอดจนคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 16% เป็น 250 ล้านบาท ภายในปี 2563

ขณะเดียวกันมองว่าการที่สินค้าในเครือได้มีโอกาสเข้าไปวางจำหน่ายผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรด จะช่วยเพิ่มโอกาสให้สินค้าของบริษัทเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้มากขึ้น โดยจากการติดตามยอดขายของบริษัทที่ผ่านมาพบว่ามีกลุ่มลูกค้าใหม่เกิดขึ้นและเกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจของบริษัทที่ได้ส่งต่อคุณค่าภูมิปัญญาไทยจากรุ่นสู่รุ่น

สำหรับในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มลงเสาเอกเพื่อเปิดโรงงานใหม่ ใช้งบลงทุน กว่า 150 ล้านบาท เสริมกำลังการผลิตเพิ่ม 40% ซึ่งจะสามารถผลิตสินค้าใหม่ๆที่ตอบสนองตลาดต่างประเทศ รวมถึงไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น โดยคาดว่าโรงงานใหม่นี้จะเริ่มเปิดดำเนินการได้ภายในปี2564

www.mitihoon.com