มิติหุ้น-บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โนเบิล ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการด้วยรายได้และผลกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ของปี 2562 มีผลประกอบการรวมอยู่ที่ 7,598 ล้านบาทและกำไรสุทธิรวม 1,151.5 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้น 368% และ 321% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และส่งผลให้รายได้และกำไรสุทธิรวมของงวด 9 เดือนมีมูลค่ากว่า 12,115.9 ล้านบาท และ 2,625.3 ล้านบาท เติบโตขึ้น 260% และ 454% จากช่วงระยะเวลา 9 เดือนของปีที่แล้ว
นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงินของบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปัจจัยของรายได้และกำไรสุทธิของบริษัทฯ ที่พุ่งสูงขึ้นในไตรมาสนี้มาจากการขายอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงที่ดินรอการพัฒนา ซึ่งหนึ่งในนั้นโนเบิลได้ดำเนินการขายให้แก่บริษัทร่วมทุนที่จัดตั้งร่วมกับฮ่องกงแลนด์ในช่วงกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งการเติบโตของรายได้ดังกล่าว ทำให้บริษัทฯ มีกระแสเงินสดเพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งส่งผลให้บริษัทฯ สามารถขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดผลประกอบการ โดยบริษัทฯ ได้ซื้อที่ดินแปลงใหม่จำนวน 3 แปลง มูลค่ากว่า 1,500 ล้านบาท เพื่อมาพัฒนาโครงการใหม่ ที่จะพร้อมขายในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ และปีหน้า อาทิ โครงการ นิว โนเบิล ศรีนครินท์-ลาซาล เป็นต้น รวมถึงได้ดำเนินการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาที่มูลค่า 5.20 บาทต่อหุ้น โดย ณ สิ้นไตรมาส 3 ของปี 2562 โนเบิลดำรงสัดส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.49 เท่า และสถาบันจัดอันดับทริสเรทติ้ง (Tris Rating) ได้ประกาศคงอันดับเครดิตเรทติ้งของบริษัทฯ ตามประกาศเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา”
นายอรรถวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “นอกจากนี้ในไตรมาสที่ 4 ของปี โนเบิลมีโครงการสร้างแล้วเสร็จเตรียมส่งมอบลูกค้าเพื่อโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด 2 โครงการ คือ โนเบิล รีโคล สุขุมวิท 19 และโนเบิล บี เทอร์ตี้ทรี ซึ่งรวมมูลค่ากว่า 5,500 ล้านบาท ทั้งนี้บริษัทฯ คาดว่าจะเกิดการทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 4 ของปีนี้เป็นต้นไป โดยปลายปี 2562 จนถึงต้นปี 2563 โนเบิลได้วางแผนที่จะเปิดโครงการใหม่อีกอย่างน้อย 2 โครงการได้แก่ “นิว โนเบิล ศรีนครินทร์-ลาซาล” โครงการล่าสุดภายใต้แบรนด์ NUE ซึ่งบริษัทฯมุ่งหวังเข้าจับกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ด้วยการต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ NUE รวมถึงโครงการใหม่ใจกลางเมืองกับ “โนเบิล อเบิฟ ไวร์เลส-ร่วมฤดี” ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีมูลค่ารวมกว่า 3,500 ล้านบาท”
ด้วยเหตุนี้ นายอรรถวิทย์ มั่นใจว่า โนเบิลในปีนี้จะสร้างผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติกาลของบริษัทฯ ด้วยยอดทะลุเป้าหมายทั้งปีสูงกว่า 14,000 ล้านบาท