KTIS ปลื้มสายธุรกิจชีวภาพหนุนกำไรสุทธิปี 62 ทะลุ 740 ล้านบาท โรงไฟฟ้ารายได้พุ่ง 28.8% เอทานอล-เยื่อกระดาษชานอ้อยโตเด่น

47

มิติหุ้น-กลุ่ม KTIS เผยรายได้สายธุรกิจชีวภาพปี 2562 โตโดดเด่น โดยโรงไฟฟ้า โรง ทำรายได้ขายไฟฟ้าเพิ่ม 28.8% รายได้ขายเอทานอลเพิ่ม 23.3% และธุรกิจเยื่อกระดาษชานอ้อยมีรายได้เพิ่ม 7.6%  ปิดงวดบัญชีปี 62 ที่รายได้รวม 16,886.0 ล้านบาท กำไรสุทธิ 740.1 ล้านบาท เพิ่มจากปี 61 ถึง 17.6% ผู้บริหารมั่นใจกลุ่ม  KTIS เติบโตได้อย่างยั่งยืน

นายณัฎฐปัญญ์  ศิริวิริยะกุล  รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท  เกษตรไทย  อินเตอร์เนชั่นแนล  ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า งบการเงินสำหรับรอบบัญชีปี 2562 (ตุลาคม 2561 – กันยายน 2562) บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 16,886.0 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 740.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 17.6% จากงบการเงินปี 2561 สิ้นสุด 30 กันยายน 2561 (9 เดือน) ซึ่งมีกำไรสุทธิ 629.3 ล้านบาท โดยคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติให้จ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท ซึ่งบริษัทฯ จะเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันศุกร์ที่ 31 มกราคม 2563 และกำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล) วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2563 กำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563

 “ปี 2562 นี้สายธุรกิจชีวภาพมีการเติบโตที่ดี โดยโรงไฟฟ้า โรง ซึ่งผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลเติบโตโดดเด่นที่สุด มีรายได้ขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 28.8% ถือว่าสูงกว่าเป้าหมายที่เราคาดไว้ว่าจะเติบโตได้ 20% นอกจากนี้ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลก็มีรายได้เพิ่มขึ้น 23.3% และรายได้จากธุรกิจเยื่อกระดาษจากชานอ้อย เพิ่มขึ้น 7.6%” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว

รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า ในสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายมีรายได้ลดลง 14.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากทั้งปริมาณและราคาขายน้ำตาลและกากน้ำตาลได้ลดลงเป็นไปตามราคาตลาดโลก แต่ในขณะเดียวกันต้นทุนขายและการให้บริการก็ลดลงด้วยตามระบบแบ่งปันผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม สายธุรกิจน้ำตาลของบริษัทฯ จะได้รับเงินชดเชยส่วนของค่าอ้อยและเงินชดเชยค่าผลตอบแทน การผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย เนื่องจากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้นเป็นเงินรายได้ประมาณ 350 ล้านบาท รวมไปถึงการได้รับเงินช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลอีกจำนวน 162.1 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ ได้รับเงินส่วนต่างราคาขายน้ำตาลจากกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายเข้ามาแล้ว 225 ล้านบาท แต่ยังบันทึกบัญชีในรูปเจ้าหนี้อยู่ก่อน และจะรับรู้เป็นรายได้เมื่อมีการประกาศราคาอ้อยขั้นสุดท้าย

นายณัฎฐปัญญ์  กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC Project) ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเตรียล จำกัด (GKBI) ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนของกลุ่ม KTIS กับกลุ่มบริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในอัตราส่วน 50 ต่อ 50 ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างเร่งก่อสร้างรงงาน โรงงาน ได้แก่ โรงงานหีบอ้อย กำลังการผลิต 24,000 ตันต่อวัน โรงงานผลิตเอทานอล กำลังการผลิต 600,000 ลิตรต่อวัน และโรงงานผลิตไฟฟ้าและไอน้ำ กำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้า 85 เมกะวัตต์ และไอน้ำ 475 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการเชิพาณิชย์ได้ภายในไตรมาสแรกปี 2564

“จากการขยายธุรกิจทางด้านชีวภาพ และการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งในไร่อ้อย ในโรงงาน รวมไปถึงในสำนักงานของกลุ่ม KTIS อยู่ตลอดเวลา จึงให้ความมั่นใจกับผู้ลงทุนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้ว่า กลุ่ม KTIS จะเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว