GL มั่นใจชนะคดีJTrust เร่งอัพพอร์ตพุ่ง7.8พันล. (6/12/62)

227

มิติหุ้น – GL มั่นใจชนะคดี PT Bank JTrust Indonesia ฟ้องแน่นอน จ่อฟ้องกลับเรียกค่าเสียหายคืน พร้อมเดินหน้าขยายพอร์ตสินเชื่อโตทะยาน ตั้งธงปี63 พุ่งถึงระดับ 7.8 พันล้านบาท จากสิ้นปี62 ที่คาดจะจบที่ 6.5 พันล้านบาท

 ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. กรุ๊ปลีส หรือ GL เปิดเผยว่า บริษัทมีความมั่นใจว่า GLFI ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ GL จะชนะคดีที่ PT Bank JTrust Indonesia ยื่นฟ้อง หลังจากเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. 2562 ศาลสูงแห่งกรุงจากาตาร์พิจารณาพิพากษายกคำฟ้องของ PT Bank JTrust Indonesia อีกครั้ง

โดยก่อนหน้านี้ หรือเมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2561 ที่ทาง PT Bank JTrust Indonesia ได้ยื่นฟ้อง GLFI เพื่อเรียกร้องเงินจำนวน 230 ล้านบาท ในข้อหาผิดสัญญาการจัดการสินเชื่อร่วมทางการเงิน และในวันที่ 14 พ.ค. 2562 ศาลพิพากษายกฟ้อง ต่อมา PT Bank JTrust Indonesia ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงแห่งกรุงจากาตาร์ และศาลสูงแห่งกรุงจากาตาร์ได้พิจารณาพิพากษายกคำฟ้องดังกล่าว

มั่นใจชนะคดีแน่นอน

อย่างไรก็ตาม PT Bank JTrust Indonesia ยังมีเวลา 14 วันที่จะยื่นฎีกาได้อีก แต่ GL เชื่อมั่นว่าจะชนะคดีในที่สุด เพราะมีหลักฐานชัดเจนและเพียงพอจะพิสูจน์ว่า GLFI ไม่มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา นอกจากนี้ GLFI ยังอยู่ระหว่างการเตรียมฟ้องร้อง PT Bank JTrust Indonesia ต่อกรณีที่มีการกระทำผิดเงื่อนไขในสัญญาการจัดการสินเชื่อร่วมทางการเงิน ที่กำหนดให้ GLFI มีอำนาจในการจัดหาและดูแลลูกค้า รวมถึงการเรียกเก็บเงินชำระค่างวดจากลูกค้า แต่ทาง PT Bank JTrust Indonesia กลับมีการติดต่อและเรียกเก็บค่างวดสินเชื่อจากลูกค้าเอง

“เงื่อนไขในสัญญาการจัดการสินเชื่อร่วมทางการเงิน ระหว่าง GLFI และ PT Bank JTrust Indonesia มีระบุไว้ชัดเจน ว่าในการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าในอินโดนีเซียนั้น ในสัดส่วน 95% จะเป็นวงเงินที่มาจาก PT Bank JTrust Indonesia และ 5% จะมาจาก GLFI โดยที่สินทรัพย์จะเป็นของ PT Bank JTrust Indonesia และในการดำเนินการต่างๆ รวมถึงการจ่ายเงินตามยอดสินเชื่อให้แก่ลูกค้าทั้ง 100% ทาง GLFI จะจัดการไปก่อน จากนั้นจึงจะไปเรียกเก็บเงิน 95% จากทาง PT Bank JTrust Indonesia แต่กลับเป็นว่าคู่กรณีมาฟ้องร้องว่า GLFI เป็นผู้ขอเงินกู้เองซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ”

ปักธงปี63พอร์ตทะยาน7,800ล้าน

นายทัตซึยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่มีปัญหาระหว่างกัน บริษัทได้มีการปรับรูปแบบการให้บริการสินเชื่อในอินโดนีเซียให้มีรูปแบบเหมือนกับในเมียนมาร์ โดยปล่อยสินเชื่อรายย่อยแบบกลุ่ม 5 คน โดยลูกค้าทั้ง 5 คนจะเป็นผู้ค้ำประกันให้กันและกัน โดยมีอายุสัญญา 1 ปี เมื่อครบกำหนดและชำระครบทั้งจำนวน ลูกค้าชั้นดีจะถูกพิจารณาให้วงเงินเพิ่มในการขอสินเชื่อครั้งต่อไป ปัจจุบันมีสัดส่วนราว 2% ของพอร์ตสินเชื่อโดยรวม

ทั้งนี้ในปัจจุบันพอร์ตสินเชื่อโดยรวมของบริษัทอยู่ที่ระดับ 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะยืนระดับประมาณนี้ไปจนถึงสิ้นปี 2562 โดยราว 68% ของพอดร์ตมาจากสินเชื่อที่ปล่อยในประเทศไทย ส่วนในกัมพูชามีสัดส่วนราว 15% เมียนมาร์มีสัดส่วน 11% และในลาวมีสัดส่วน 4% สำหรับในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของพอร์ตเพิ่มขึ้นจากปีนี้ 20% หรือที่ระดับ 7,800 ล้านบาท โดยมีตัวขับเคลื่อนการเติบโตมาจากการทำตลาดในกัมพูชาและเมียนมาร์ที่มีอัตราการเติบโตที่ดีและรวดเร็ว

www.mitihoon.com