หุ้นไทยยังเจอแรงกดดัน แนะลดพอร์ตรอสัญญาณบวก

105

สัปดาห์ทำการที่ 2 ของเดือน ธ.ค. นี้ จะเป็นอีกสัปดาห์ที่ต้องจับตามองประเด็นสำคัญว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดในทิศทางใดบ้าง โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลงสวนทางกับตลาดอื่นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ SET Index  ลดลง –2% ขณะที่ตลาดเกิดใหม่ บวก +0.9%

ประเด็นเรื่องการทำข้อตกลงทางการค้ายังเป็นปัจจัยหลักที่จะมีผลต่อทิศทางของตลาดโลกอยู่ ณ ปัจจุบันยังไม่มีความชัดเจน แม้ล่าสุดจีนเตรียมยกเว้นภาษีนำเข้าถั่วเหลืองและเนื้อหมูจากสหรัฐฯถือเป็นสัญญาณว่าจีนมีแนวโน้มจะยินยอมตามที่สหรัฐฯต้องการมากขึ้น อย่างไรก็ตามต้องจับตาดูว่าก่อนถึงกำหนดวันที่ 15 ธ.ค. นี้จะมีการทำข้อตกลงกันหรือไม่

ส่วนประเด็นอื่นที่น่าสนใจคือการประชุมนโยบายทางการสหรัฐฯ (FOMC) ในวันที่ 12 ธ.ค. คาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75%  จากช่วงก่อนหน้า โดยในรอบการประชุมนี้จะมีการประมาณการอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสำหรับปี 2020  ซึ่ง ทาง KTBST คาดว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ FOMC จะเกิดขึ้นในปี 2020 อย่างน้อย 2 ครั้งหลังเดือนมีนาคมเป็นต้นไป

อีกปัจจัยสำคัญที่ติดตามคือ การเลือกตั้งทั่วไปของอังกฤษในวันที่ 12 ธ.ค. คาดว่า พรรคอนุรักษ์นิยม ของนายบอริส จอห์นสัน จะได้เสียงมากส่งผลให้การทำ BREXIT ในเดือนมกราคม 2563 มีความเป็นไปได้สูง

โดยภาพรวมของตลาดในสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยยังได้รับกดดันจากปัจจัยทั้งภายในเรื่องเศรษฐกิจและปัจจัยภายนอก จึงต้องจับตาดูการปรับตัวลงมาทดสอบระดับ 1,546 จุด  หลังมีแรงขายหุ้นออกมาในกลุ่มที่อ้างอิงกับการเติบโตทางเศรษฐกิจรวมไปถึงกลุ่มที่ได้ผลกระทบจากสงครามการค้า ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์นี้อาจพิจารณาชะลอการลงทุนไว้ก่อนเน้นรักษาเงินต้นไว้ มองว่าตลาดสามารถปรับตัวขึ้นลงได้ตลอดเวลา โดยสินทรัพย์ลงทุน KTBST ยังแนะนำเหมือนช่วงที่สัปดาห์ที่ผ่านมาคือ กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งอสังหาริมทรัพย์  ,  หุ้นต่างประเทศอย่างอินเดีย , ตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีคุณภาพและมีสินทรัพย์ค้ำประกัน รวมไปถึงทองคำ แนะนำถือเพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้”  https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php

โดยชาตรี  โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ 

บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST)