ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ระบุในบทวิเคราะห์ บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ หรือ TPIPP ว่า แนวโน้มผลประกอบการของTPIPPจะเติบโตได้ ภายใต้กำลังการผลิตปัจจุบัน440MW จากการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต คือ 1.) มีการเพิ่ม Boiler B11 และ B12 และกำลังสร้าง B13-B15 ซึ่ง B13-B14 จะเสร็จในไตรมาส1/63 ส่วน B15 จะเสร็จกลางปี 2563
2.) มีการตกลงขายไฟให้TPIPL ใหม่ จากเดิม TPIPL จะผลิตปูนซีเมนต์ในช่วง Off-Peak ซึ่งค่าไฟมีราคาถูก แต่ TPIPP ไม่สามารถรองรับได้ จึงเปลี่ยนมาผลิตในช่วง Peak และ Off-Peak แต่ซื้อไฟในราคา Off-Peak ทำให้ TPIPP ขายไฟให้ TPIPL ได้ตลอดทั้งวัน 3.) ใช้ขยะสดจากเทศบาลมากขึ้นซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าการซื้อ RDF และ ขยะจากหลุมฝังกลบจาก Boiler B11-B15 มีประสิทธิภาพสูงสามารถคัดแยกขยะสด และ เผาตรงได้เลย ทางผู้บริหารตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้จะมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท เติบโตได้ 30% และปี 2563 ถ้าผลิตเต็มที่จะมีรายได้ 12,000-13,000 ล้านบาท หรือ เติบโตได้ 20%
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/62 คาดจะเติบโตมากขึ้น จากการปรับปรุงประสิทธิภาพและเพิ่มBoiler จะทำให้โรงไฟฟ้ าที่ขายไฟให้กฟผ.และ ได้adder 3.50 บาท คือ TG3 , TG5, TG6+4 รวม 163MW มีปริมาณขายไฟมากขึ้น ประเมินรายได้ในปีนี้เท่ากับ 10,428 ล้านบาท เติบโต 37% และ คาดจะมีกำไรปกติเท่ากับ 4,351 ล้านบาท เติบโต 23% สำหรับปี 2563 ประเมินรายได้ 12,364 ล้านบาท เติบโต 18.6% และมีกำไรปกติเท่ากับ 4,628 เติบโต 6%
ส่วนประเด็นที่ adder จะหมดในอนาคต ทาง TPIPP อาจจะพิจารณาเรียกค่าจำกัดขยะ จากปัจจุบันไม่คิดเงิน ฝ่ายวิจัยประเมินราคาเป้าหมาย DCF โดยเปลี่ยนเป็นสิ้นปี 2563 และ รวมถึงลดกระแสเงินสดหลังหมด adder ลงจากยังไม่มีโครงการใหม่ ทำให้ DCF (WACC = 7.5%) ลดลงเหลือ 5.7 บาท จาก 7 บาท ราคาหุ้นซื้อขาย P/E ปี 2563 ต่ำเพียง 8.5 เท่า และ มีอัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2562 เท่ากับ 8.5% คงแนะนำ “ซื้อลงทุน”
www.mitihoon.com