มิติหุ้น – Netizen ที่ปรึกษาด้านการวางระบบ ERP เผยตัวเลขงบลงทุนด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นทุกอุตสาหกรรมในไทย เติบโตก้าวกระโดด คาดภายในปี 2562 – 2565 เพิ่มขึ้น 19.42% แต่มีองค์กรที่ทรานส์ฟอร์มตัวเองสำเร็จเพียง 20% ส่งผลเกิดเม็ดเงินลงทุนที่สูญเปล่าถึง 80% ล่าสุดประกาศนโยบายลดการสูญเสีย 100% ตั้งเป้าหมายนำพาลูกค้าก้าวสู่ยุคดิจิทัลให้สำเร็จทุกราย ล่าสุดประกาศความสำเร็จร่วมกับ ไทยเคเค อุตสาหกรรม กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ระดับอาเซียน Go Live ระบบ ERP ด้วย Netizen Arabica แบบ Full Function ขึ้นสู่รูปแบบคลาวด์ ช่วยในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังและการขนส่ง ด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเชิงลึก ครอบคลุมทุกขั้นตอนและกระบวนการทำงาน สามารถติดตามสถานะการดำเนินงานได้แบบ Real-time
นายกฤษดา สาธุกิจชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร บริษัท เนทติเซนท์ จำกัด (Netizen) เปิดเผยว่า ปัจจุบันองค์กรในทุกอุตสาหกรรมมุ่งทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชั่นเพื่อยกระดับการแข่งขันให้กับธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการใช้จ่ายด้านไอทีเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยคาดว่าภายในปี 2562 – 2565 อัตราการเพิ่มขึ้นจะมีถึง 19.42% ตามที่ข้อมูลจากไอดีซีระบุว่า ในปีนี้จะมีมูลค่า 4.52 แสนล้านบาท เมื่อถึงปี 2563 จะเพิ่มไปถึง 4.89 แสนล้านบาท จากนั้นในปี 2564 จะมีมูลค่า 5.16 แสนล้านบาท และปี 2565 ประมาณ 5.40 แสนล้านบาท ซึ่งในมูลค่าที่กล่าวมาเป็นการลงทุนด้านการวางระบบเทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ให้ทันสมัยสามารถรองรับแพลตฟอร์มดิจิทัลใหม่เป็นสัดส่วน 60% แต่การลงทุนด้านดังกล่าวกับประสบปัญหาไม่สามารถนำระบบขึ้นมาใช้งานกับธุรกิจได้จริงมากกว่า 80% เนื่องการการออกแบบระบบขาดความยืดหยุ่นกับธุรกิจและการใช้งานยากจนเกินไป
จากปัญหาดังกล่าวเนทติเซนท์ในฐานะที่ปรึกษาด้านการวางระบบซอฟต์แวร์การบริหารจัดการทางธุรกิจ (ERP)จึงได้ตั้งเป้าว่าจะไม่ทำให้เกิดความสูญเสียดังกล่าวเกิดขึ้นกับลูกค้า 100% เพื่อช่วยลดการสูญเสียที่มีมูลค่ามหาศาลต่อเศรษฐกิจ ซึ่งเนทติเซนท์ได้แก้ปัญหาด้วยการนำระบบซอฟท์แวร์สำเร็จรูปมาต่อยอดปรับให้เข้ากับองค์กรของไทย เพื่อให้สามารถใช้งานได้จริง ดังเช่นเมื่อเร็วๆนี้ เนทติเซนท์ ได้ทำการ Go Live ระบบ SAP ERP เวอร์ชัน Netizen Arabica ให้กับองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ กลุ่มบริษัทไทย เคเค ได้แล้วเสร็จด้วยตามเป้าหมายด้วยระยะเวลาเพียง 8 เดือน โดยสามารถสร้างสถิติผู้ใช้งานสูงสุด 150 Users นับว่ามากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วยการใช้งานระบบ แบบ Full Package โดยระบบช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มบริษัท ไทย เคเค สามารถขยายสาขาเข้าสู่ประเทศมาเลเซีย และประเทศเวียดนามสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย พร้อมมุ่งหน้าเข้าสู่การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต ด้วยระบบการบริหารจัดการธุรกิจที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้การ Go Live ระบบใหม่ให้กับกลุ่มบริษัท ไทย เคเค ในครั้งนี้ เป็นการเปิดใช้ระบบ Netizen Arabica แบบ Full Function ช่วยในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังและการขนส่ง ด้วยข้อมูลที่มีคุณภาพเชิงลึก ครอบคลุมทุกขั้นตอนและกระบวนการทำงาน สามารถติดตามสถานะการดำเนินงานได้แบบ Real-time ตั้งแต่ในขั้นตอนการจัด Shipment การตรวจนับสต็อคของและสินค้า การขนของขึ้นรถ หรือแม้กระทั่งการระบุสถานะและตัวตนของคนขับรถ นำไปสู่การตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลจากรายงายได้อย่างดีเยี่ยม ช่วยให้มีระบบการจัดการระบบขนส่งที่ดี ประหยัดเวลา มีความโปร่งใสและช่วยเพิ่ม Transaction รอบการขนส่งได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Netizen Arabica เชื่อมโยงกับ Real Cloud ERP โซลูชันบนระบบ Cloud ที่ เนทติเซนท์ ได้ทำการต่อยอดและพัฒนาระบบการทำงานเพิ่มเติมจาก SAP Business Bydesign ซึ่งเป็น Backbone หลักของระบบด้วยการปรับแต่ง และยกระดับโฉมการใช้งานให้เข้ากับรูปแบบกระบวนการทำงานของธุรกิจในไทย เพื่อให้ครอบคลุมการบริหารจัดการธุรกิจ ด้วยกระบวนการทำงานที่มีมาตรฐานสูงสุดได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่มาพร้อมกับ Business Scenarios 200+ สามารถตอบโจทย์ความต้องการในแต่ละอุตสาหกรรม ครอบคลุมทุกกระบวนการทำงานได้อย่างคล่องตัว เชื่อมต่อการทำงานทุกแผนก ตั้งแต่ต้นทางไปจนถึงปลายทาง (End to End Process) อีกทั้งยังรองรับการขยายสาขา และจำนวน Users ด้วยการจัดการข้อมูลทางธุรกิจ และวางแผนธุรกิจได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยังมี Netizen Duriano ซึ่งเป็นโซลูชัน Bank Payment Integration ที่เชื่อมโยงข้อมูลรายงานการซื้อขายสินค้าไปยังธนาคาร เพื่อให้สามารถส่งข้อมูลการชำระเงินไปยังธนาคาร พร้อมทั้งมีการแจ้งเตือนในส่วนของการชำระเงินเข้า การชำระเงินออก สร้างคุณค่าด้วยเทคโนโลยีและข้อมูลที่มีคุณภาพให้กับกลุ่มบริษัทไทยเคเค 3 บริษัท ดังนี้ บริษัท ไทยเคเค อุตสาหกรรม จำกัด บริษัทไบโอ-อีโค จำกัด และบริษัท ไทยเคเค เทค จำกัด
นายเสรี สาธุกิจชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท เนทติเซนท์ จำกัด ได้กล่าวถึงการ Go Live ความสำเร็จในครั้งนี้เกิดจากการผสานการทำงานด้วย 3 องค์ประกอบที่สำคัญคือ System Ready, Process Ready และ People Ready จึงสามารถช่วยให้กลุ่มบริษัท ไทยเคเค รวบรวมฐานข้อมูล Master Data ทั้งหมดเข้าสู่ส่วนกลาง สามารถเชื่อมต่อการทำงานของข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลในส่วนต่าง ๆ ของบริษัทในเครือได้แบบ Real-time ที่ทำให้ฝ่ายบริหารสามารถนำข้อมูลที่เป็น Big Data ไปใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจ และการบริหารองค์กร ด้วย Business Flow ที่เป็นไปตามโครงสร้างการทำงานของบริษัทได้อย่างเหมาะสม จึงทำให้ได้ผลสำเร็จในการใช้งานระบบ Netizen Arabica ได้อย่างรวดเร็วตามเป้าหมายที่ได้วางร่วมกันไว้
นายเชวง อยู่วิมลชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเคเค อุตสาหกรรม จำกัด กล่าวว่า กลุ่มบริษัท วางแผนกลยุทธ์ธุรกิจ นำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ระบบ E-Commerce และตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต จึงมองหาระบบปฏิบัติการที่มีประสิทธิ มีความเป็นมาตรฐาน และความปลอดภัย ซึ่ง Netizen Arabica ตอบโจทย์กลยุทธ์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพเพราะสามารถตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน เพราะช่วยให้ฝ่ายบริหารสามารถมองเห็นรายงานข้อมูลที่มีคุณภาพเชิงลึก รายงานตัวเลข จำนวนสินค้าคงคลัง รายการประเภทสินค้า งบกำไรขาดทุน เพื่อทำการวิเคราะห์และตัดสินใจได้อย่างทันท่วงที เพียงช่วง 3-5 เดือนที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทไทย เคเค สามารถลดจำนวน สอนค้าคงคลัง(Inventory) ได้กว่า 150 ล้านบาท และการเชื่อมโยงข้อมูลในระบบ Netizen Arabica สามารถทำให้พนักงานในฝั่งดูแลลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลในระบบ เพื่อทำการตัดสินใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่ผลลัพธ์การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งยังสามารถเชื่อมต่อข้อมูล ติดตามข้อมูล และติดตามสถานะการทำงานแต่ละขั้นตอนการทำงานเอกสาร( Document Flow)ที่เกิดขึ้น ก่อให้เกิดผลลัพธ์การทำงานที่มีประสิทธิผลภายในบริษัท ช่วยสร้างความเติบโตให้กับกลุ่มบริษัทในเครือ เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตและจำหน่ายลาเบล เทปกาว ผงเมลามินและยูเรีย และขยายฐานไปยังต่างประเทศด้วยมาตรฐานคุณภาพระดับสากล