คอลัมน์ KTBST Build Your Net Worth
สัปดาห์นี้เริ่มทำการด้วยแรงขายล้วนๆ เหตุการณ์ระหว่างประเทศที่รุนแรงของสหรัฐฯกับอิหร่านทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลงอย่างแรงตั้งแต่เมื่อวันศุกร์ (3 ม.ค.) โดยตลาดหุ้นเกิดใหม่ MSCI Emerging market ลดลงถึง 1.0% เช่นเดียวกับ SET Index เมื่อวันจันทร์ (6 ม.ค.) ตลาดร่วงลงไปถึง -26.47 จุด หรือ -1.66% แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกในเรื่องการทำข้อตกลงทางการค้าของจีน-สหรัฐฯเป็นตัวหนุนก็ตาม
โดยสัปดาห์นี้จะมีการายงานดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯในวันที่ 7 ม.ค. คาดว่าจะฟื้นตัวเล็กน้อยที่ระดับ 54.4 ซึ่งจะเป็นตัวเลขดัชนีที่สวนทางกับภาคการผลิต ที่มีการปรับตัวลดลงในช่วงก่อนหน้า เนื่องจากสัดส่วนภาคการบริการนั้นได้รับผลระทบจากสงครามการค้าที่น้อยกว่า ส่วนในวันที่ 10 ม.ค. จะมีการรายงานตัวเลขการส่งออกของจีนคาดว่าจะออกมาอยู่ที่ 2% ฟื้นตัวจากช่วงก่อนหน้าที่ -1.3% KTBST มองว่าฟื้นตัวมาจากฐานที่ต่ำในช่วงก่อนหน้า
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่นักลงทุนจะให้ความสนใจมากพอเท่ากับสถานการณ์ใหญ่ คือ ความขัดแย้งที่รุนแรงของสหรัฐฯกับอิหร่าน หลังจากอิหร่านตอบโต้สหรัฐฯด้วยการยิงขีปนาวุธเข้าสู่บริเวณฐานทัพสหรัฐฯในเคนยาและสหรัฐฯยืนยันที่จะไม่ถอนทหารออกจาอิรัก คาดว่าสถานการณ์จะยังไม่บานปลายเกิดขึ้นขั้นเกิดสงครามโลก หากจีนและรัสเซียไม่เข้ามาสนับสนุนอิหร่าน แต่ในช่วงระยะที่เกิดความตรึงเครียดนี้ เราจะเห็นสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำปรับตัวขึ้นแรง
นอกจากนี้ ประเด็นสำคัญคือ ราคาน้ำมันมีการขยับตัวขึ้นในทันทีสะท้อนโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเกิดความรุนแรง KTBST ประเมินว่าราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น 15-30% ทำให้ราคาน้ำมันดิบ Brent จะปรับขึ้นไปที่ระดับ75-85 เหรียญฯ และเมื่ออ้างอิงจากเหตุการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางในอดีตแล้ว คาดว่าเหตุความไม่พอใจของชาวอิหร่านจะยังไม่สงบโดยเร็ว ทำให้ราคาน้ำมันใน 1-2 เดือนต่อจากนี้มีโอกาสที่จะไปสู่ระดับ 75 เหรียญฯได้ โดยหากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นอาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกได้
อย่างไรก็ตามหาก ณ ตอนนี้จะยังไม่เกิดความรุนแรงขึ้น แต่จะทำให้บรรยากาศการลงทุนและสถานการณ์ต่างๆ อยู่ในภาวะคลุมเครือต่อไป ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นจะผันผวนแกว่งตัวตามข่าวที่ออกมาในช่วงจากนี้ไป แต่เนื่องจากปัจจัยในประเทศเองก็ยังเป็นอีกประเด็นที่มีผลต่อการลงทุน โดยเฉพาะเงินบาทที่แข็งค่ากระทบต่อการส่งออกต่อเนื่อง รวมไปถึงการประชุมสภาฯพิจารณางบประมาณในวันที่ 8 ม.ค. และมาตรการเศรษฐกิจอื่นๆ จะเป็นอีกปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยเช่นกัน
กลยุทธ์การลงทุน KTBST ยังเน้นให้น้ำหนักการลงทุนสินทรัพย์อย่างกองทุนอสังหาริมทรัพย์โครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการลงทุนในหุ้นอาจพิจารณาชะลอ เพื่อรอดูสถานการณ์ของการทำข้อตกลงการค้าและงบการเงินที่จะรายงานออกมา ส่วนสินทรัพย์อย่างทองคำและน้ำมันที่ราคาปรับขึ้นมาอย่างรวดเร็วนั้น แนะนำหาจังหวะขายทำกำไรบ้างเพื่อลดความเสี่ยง อย่าเข้าซื้อในทิศทางขาขึ้น โดยราคาทองคำในเบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 1,583 เหรียญฯ หากสถานการณ์ไม่รุนแรงและยื้ดเยื้อมาก
ติดตามข่าวสารการลงทุนได้จาก ”มุมความรู้” https://www.ktbst.co.th/th/knowledge.php
โดยคุณชาตรี โรจนอาภา รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และพัฒนาผลิตภัณฑ์
บล. เคทีบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (KTBST)