ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายนาวิน อินทรสมบัติ Chief Investment Officer (รองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนต่างประเทศ) บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย จ่ายปันผลกองทุนเปิดเค โกลด์ (K-GOLD) และกองทุนเปิดเค ญี่ปุ่น หุ้นทุน (K-JP) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่ 1 ก.ค. 62 ถึง 31 ธ.ค. 62 ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย โดยทั้ง 2 กองทุนมีกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 14 ม.ค. 63 รวมมูลค่าทั้งสิ้น 271.50 ล้านบาท
โดยกองทุน K-GOLD มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำแท่งในตลาดโลก โดยกองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน และ 1 ปี อยู่ที่ 5.84% และ 15.09% ต่อปี ตามลำดับ และมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 3.97% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 62) ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2551 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 17 ครั้ง เป็นเงิน 4.75 บาทต่อหน่วย
“จากสถานการณ์โลกในช่วงนี้ที่ยังคงมีความไม่แน่นอนจากประเด็นสงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน ประเด็น Brexit รวมถึงประเด็นความไม่สงบในตะวันออกกลาง เป็นต้น ทำให้ผู้ลงทุนมีความต้องการซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หนุนให้ราคาทองคำสูงขึ้น โดยมองกรอบราคาทองคำในระยะสั้นอยู่ที่ระดับ 1,350 – 1,450 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์โลก และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารของประเทศแกนหลัก ซึ่งอาจกดดันราคาทองคำได้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-GOLD เป็นสัดส่วน 5-10% ของพอร์ต เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยง” นายนาวินกล่าว
สำหรับกองทุน K-JP มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทของญี่ปุ่นที่มีผลประกอบการดี มีความสามารถทางการแข่งขันสูง และมีความยั่งยืนในการเติบโตของธุรกิจ โดยไม่จำกัดหมวดหมู่ของอุตสาหกรรมหรือขนาดของบริษัทเพื่อความคล่องตัวในการลงทุน โดยกองทุนมีผลการดำเนินงานย้อนหลัง 6 เดือน และ 1 ปี อยู่ที่ 11.26% และ 15.53% ต่อปี ตามลำดับ และมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน 4 ไตรมาสย้อนหลัง (Dividend Yield) อยู่ที่ 1.99% ต่อปี (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธ.ค. 62) ทั้งนี้ นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อปี 2557 กองทุนมีการจ่ายปันผลรวมแล้วทั้งสิ้น 9 ครั้ง เป็นเงิน 2.55 บาทต่อหน่วย
นายนาวินกล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของญี่ปุ่น มีตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ขยายตัว 1.8% จากการบริโภคก่อนที่มาตรการปรับขึ้นภาษีการบริโภคจะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือผลกระทบในเรื่องดังกล่าวแล้ว ด้านธนาคารกลางญี่ปุ่น คงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม และได้ส่งสัญญาณว่าอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจและผลักดันให้เงินเฟ้อเข้าสู่
เป้าหมายที่ 2% เพื่อมุ่งให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพด้านราคา (Price Stability) และเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ผู้ลงทุนยังคงต้องจับตาประเด็นข้อพิพาททางการค้าระหว่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อตลาดหุ้นญี่ปุ่น เนื่องจาก ราคาหุ้นญี่ปุ่นถูกกว่าเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯและยุโรป โดยแนะนำให้ลงทุนในกองทุน K-JP เป็นสัดส่วน 5% ของพอร์ต
ผู้ลงทุนที่สนใจสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน K-My Funds เพื่อดูผลการดำเนินงานย้อนหลังได้สะดวกยิ่งขึ้น และเริ่มต้นลงทุนได้เพียง 500 บาท ผ่าน K-My Funds, K PLUS, ธนาคารกสิกรไทย หรือ ผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุน โดยติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนได้ตามช่องทางดังกล่าว สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ KAsset Contact Center 0 2673 3888