บลจ.พรินซิเพิล ปรับกลยุทธ์กอง ‘PRINCIPAL iBALANCED’ พร้อมเปิดขายหน่วยลงทุนชนิดจ่ายเงินปันผล Class – D ปันผล 5 – 6% ต่อปี

187

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า นายจุมพล สายมาลา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.พรินซิเพิล เปิดเผยว่า บลจ.พรินซิเพิล ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนของ กองทุนเปิดพรินซิเพิล บาลานซ์ อินคัม หรือ Principal Balanced Income Fund (PRINCIPAL iBALANCED) เพื่อเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น

โดยปรับเปลี่ยนมาใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ ‘Asset Allocation’ เพื่อกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย ได้แก่ ตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Property Fund) ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) และทองคำ ทั้งการลงทุนโดยตรงและลงทุนผ่านกองทุนของ บลจ.พรินซิเพิล อาทิ กองทุนเปิดพรินซิเพิล คอร์ ฟิกซ์ อินคัม (PRINCIPAL iFIXED), กองทุนเปิดพรินซิเพิล เอ็นแฮนซ์ อิควิตี้ (PRINCIPAL EEF), กองทุนเปิดพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (PRINCIPAL iPROP) ฯลฯ จากเดิมที่กองทุนดังกล่าวมีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้และหุ้นไทยเป็นหลัก

ทั้งนี้ ทีมจัดการลงทุนจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภทเพื่อเป็นพอร์ตลงทุนหลัก (Strategic Asset Alloction) โดยมีการปรับสัดส่วนลงทุน (Rebalanced Portfolio) ในสินทรัพย์แต่ละประเภทแบบอัตโนมัติเมื่อชนกรอบสัดส่วนการลงทุนที่กำหนดไว้ และมีผู้จัดการกองทุน ทำหน้าที่ประเมินแนวโน้มการลงทุนในช่วง 6 – 12 เดือนข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนในแต่ละสินทรัพย์ที่สอดคล้องกับทิศทางตลาด

“การปรับกลยุทธ์ของกองทุน PRINCIPAL iBALANCED ครั้งนี้ เนื่องจากภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัว ดังนั้น การลงทุนจึงต้องมองหาโอกาสในกลุ่มสินทรัพย์หลากหลายมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2562 สินทรัพย์ที่ลงทุนบางกลุ่มที่สามารถให้ผลตอบแทนสูง เช่น ดัชนี  Property Fund ปรับตัวเพิ่มขึ้น 22.54%, REITs ในไทยและสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 25.61% (ที่มา: Bloomberg, Data as of 31 Dec 2019) นายจุมพลกล่าว

สำหรับกองทุน PRINCIPAL iBALANCED จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 ก.ย. 2556 โดยนับจากจัดตั้งกองทุนถึงปัจจุบันถือว่ามีผลการดำเนินงานที่ดี โดยรับซื้อคืนหน่วยลงทุน (Auto Redemption) Class – R ต่อเนื่องแล้ว 25 ครั้ง รวม 3.12 บาทต่อหน่วย โดยในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2563 บลจ.พรินซิเพิล จะเปิดเสนอขายหน่วยลงทุนชนิดจ่ายเงินปันผล (Dividend) Class – D เป็นครั้งแรก ประมาณการอัตราจ่ายเงินปันผลที่ 5 – 6% ต่อปี คาดการณ์จ่ายเงินปันผลประมาณ 4 ครั้งต่อปี เพื่อเพิ่มทางเลือกแก่ผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว โดยได้รับเงินปันผลจากการลงทุน