ผู้สื่อข่าว“มิติหุ้น” รายงานว่าบมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยาหรือBAY โดย“นายเซอิจิโระอาคิตะ” กรรมการผู้จัดใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหารเปิดเผยว่า ปี63 ธนาคาตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต5-7% จากปีก่อนที่สินเชื่อเติบโต8.7% ซึ่งเป็นการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจและเป็นไปตามอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ(GDP) ที่คาดอยู่ที่2.5% โดยสัดส่วนสินเชื่อแบ่งเป็นรายย่อย50% และสินเชื่อธุรกิจ50%
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิปีนี้อยู่ที่3.4-3.6% การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ในช่วง-3% ถึง3% และอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)อยู่ที่ระดับต่ำกว่า2.5% จากปีก่อนเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่1.98% เนื่องจากภาวะปัจจุบันที่มีความเสี่ยงมากขึ้นซึ่งธนาคารจะเน้นบริหารจัดการความเสี่ยงและระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
อย่างไรดีการประมาณการณ์ดังกล่าวเป็นการประมาณการณ์ก่อนการเกิดโรคระบาดเชื้อไวรัสโคโรนาดังนั้นธนาคารมีโอกาสปรับประมาณการอีกครั้ง
ทั้งนี้ธนาคารมีแผนขยายสู่ต่างประเทศมากขึ้นโดยจะร่วมมือกับพันธมิตรในเครือมิตซูบิชิยูเอฟเจไฟแนนเชียลกรุ๊ป(MUFG) หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินชั้นนำระดับโลกเพื่อขยายธุรกิจสู่ประเทศลาวกัมพูชาเมียนมาฟิลิปินส์เวียดนาม
รวมถึงยังมองโอกาสการขยายธุรกิจใหม่ๆในต่างประเทศเพิ่มเติมซึ่งรูปแบบการลงทุนนั้นเป็นไปได้ทั้งการร่วมทุนและซื้อกิจการ
พร้อมกันนี้ในปี63 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของแผนธุรกิจระยะกลางฉบับปัจจุบันกรุงศรีจะยังคงเดินหน้าสู่การเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินชั้นนำในประเทศไทยด้วยแผนเชิงยุทธศาสตร์3 ด้านที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่มประกอบด้วย1) การยกระดับประสบการณ์ลูกค้า2) การใช้ประโยชน์จากศักยภาพด้านข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนองค์กรและ3) การมุ่งเน้นกลยุทธ์ความร่วมมือกับพันธมิตร
“กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี63 นี้เราจะมุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงธุรกิจการเงินในยุคดิจิทัลผ่านการพัฒนานวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์การใช้นวัตกรรมในการขับเคลื่อนกระบวนการทำงานและการยกระดับบริการโดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ความสำคัญกับการริเริ่มโครงการที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจ(Ecosystem) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าซึ่งรวมทั้งกลุ่มผู้ใช้รถผู้ซื้อบ้านและผู้ประกอบการSME” นายอาคิตะ กล่าว
ล่าสุดปี62 BAY แจ้งกำไรสุทธิ3.27 หมื่นล้านบาทเพิ่มขึ้น32% จากปีก่อนหน้าและสินเชื่อเติบโตถึง8.7% ซึ่งสูงกว่าเป้าที่6-8% โดยเงินรับฝากเพิ่มขึ้น9.9% ส่วนNIMอยู่ที่3.60% ลดลงจาก3.81% ในปี61 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่31.9% จากปี61 หลักๆมาจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นของ“บ.เงินติดล้อ” และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสีย
ด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้อยู่ที่42.9% ปรับดีขึ้นจาก47.2% ในปี61 (หากไม่รวมรายการพิเศษที่บันทึกในปี62 อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินธุรกิจตามปกติของปี62 อยู่ที่45.1%) ด้านNPLs อยู่ที่1.98% ปรับดีขึ้นจาก2.08% ในปี61 อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังคงแข็งแกร่งที่163.8% อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ระดับ16.56%
www.mitihoon.com