TKN เปิดกลยุทธ์ปี 63 มุ่งขยายตลาดสาหร่ายทอดเต็มสูบ ควง ‘โอริออน กรุ๊ป’ หันโฟกัสตลาดสาหร่ายทอด-ออกผลิตภัณฑ์ใหม่

414

มิติหุ้น – นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า แผนดำเนินงานปี 2563 บริษัทฯ มีแผนขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก หลังได้แต่งตั้ง ‘โอริออน กรุ๊ป’ (Orion Group) เป็นผู้แทนจำหน่ายสินค้ารายใหม่เพียงรายเดียวในประเทศจีน ตั้งแต่เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ที่มีขีดความสามารถการจัดจำหน่ายในประเทศจีนที่ครอบคลุมพื้นที่และเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้มากกว่ารายเดิม พร้อมกันนี้ยังมีแผนงานร่วมกัน เพื่อรุกขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย

ส่วนแผนดำเนินงานในประเทศ ได้มุ่งเน้นทำตลาดสินค้าสาหร่ายทอด ซึ่งเป็นพอร์ตรายได้หลักของบริษัทฯ เน้นการสร้างแบรนด์สินค้า พร้อมพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและรองรับตลาดสาหร่ายปรุงรสในไทยที่มีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง จากปีก่อนที่มีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 3,000 ล้านบาท หลังอัตราการบริโภคสาหร่ายต่อหัวของไทยยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในเอเชีย

ล่าสุด บริษัทฯ ได้วางจำหน่ายสาหร่ายสูตร Low Sodium (โซเดียมต่ำ) ภายใต้แบรนด์ ‘Good day’ เจาะกลุ่มคนรักสุขภาพ ที่ลดปริมาณเกลือ 50% และผ่านกรรมวิธีการทอดด้วยน้ำมันรำข้าวแทนน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า จึงเชื่อมั่นว่า TKN จะรักษาความเป็นผู้นำตลาดสาหร่ายปรุงรสด้วยส่วนแบ่งกว่า 69% ไว้ได้อย่างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วมกับโอริออน เพื่อจัดจำหน่ายในประเทศ คือ ข้าวโพดอบกรอบรสซุปข้าวโพด “โคบุก” ซึ่งเป็นขนมที่เป็นที่นิยมในประเทศเกาหลี

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TKN กล่าวอีกว่า ผลการดำเนินงานปี 2562 มีรายได้รวม 5,297 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 ที่มีรายได้รวม 5,461 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 361 ล้านบาท ชะลอตัวจากปีก่อน เนื่องจากมียอดขายที่ชะลอตัวในช่วงไตรมาส 2-3 ที่ผ่านมาแต่เริ่มมีกำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากราคาสาหร่ายใหม่ และมีการตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์จากการปิดสายการผลิตสาหร่ายอบในสหรัฐอเมริกา โดยเปลี่ยนเป็นการจ้างผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายแทน เพื่อลดการขาดทุนจากบริษัทฯในเครือในปี 63

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ประชุมบอร์ดบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.26 บาท จากผลการดำเนินงานปี 2562 รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 359 ล้านบาท โดยได้มีการจ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2562 จำนวน 0.11 บาท/หุ้น คงเหลือจ่ายปันผลจำนวน 0.15 บาท/หุ้น เพื่อนำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติ ทั้งนี้การให้สิทธิรับเงินปันผลของบริษัทฯ ยังมีความไม่แน่นอน เนื่องจากต้องรอการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 มีนาคม 2563 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 8 พ.ค.63