มิติหุ้น-‘บมจ.โอสถสภา (OSP)’ รายงานรายได้จากการขายในปี 2562 ที่ 25,611 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3,259 ล้านบาท มีผลดำเนินงานเติบโต 5.4% ตามแผน ด้วยศักยภาพการดำเนินธุรกิจอย่างแข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มในประเทศเติบโตทุกเซกเมนต์ ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลขยายตัวโดดเด่น และโครงการ Fit Fast Firm ทำได้ดีกว่าแผน ช่วยบริหารจัดการต้นทุนดีขึ้น ด้านบอร์ดฯ เห็นชอบจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานปี 2562 จำนวน 1.0 บาทต่อหุ้น พร้อมตั้งเป้าเติบโตเลข 2 หลัก ในปี 2563
นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหารและ CEO บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานปี 2562 ว่า OSP สามารถสร้างการเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิได้ตามเป้าหมาย โดยมีรายได้จากการขาย 25,611 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากปี 2561 และมีกำไรสุทธิ 3,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% จากปี 2561 โดย OSP ยังคงความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่มีส่วนแบ่งตลาดรวม 53.5% และตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ (Functional Drink) ที่มีส่วนแบ่งตลาดรวม 33.3% โอสถสภาในฐานะผู้นำตลาดมีส่วนสำคัญในการผลักดันตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังให้เติบโต 5.7% และตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ที่เติบโต 19.3% ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ส่วนการบริหารต้นทุนในโครงการ Fit Fast Firm นั้น ทำได้ดีกว่าแผน ช่วยลดต้นทุนได้ถึง 775 ล้านบาท
สำหรับเครื่องดื่มบำรุงกำลังเอ็ม-150 ยังคงความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง และได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งการออกสินค้าใหม่ สูตรกระชายดำผสมน้ำผึ้ง เพื่อตอบรับเทรนด์สมุนไพรที่กำลังมาแรง รวมถึงแคมเปญแต้มเอ็ม แพลตฟอร์มดิจิทัลเพื่อสร้างลอยัลตี้ในระยะยาว ส่วน ‘ซี-วิต’ เป็นอีกแบรนด์ที่เติบโตโดดเด่นถึง 46.1% จากปีก่อน ครองความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ (Functional Drink) โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 25.6% และ ‘เปปทีน’ เติบโตอย่างต่อเนื่องหลังออกผลิตภัณฑ์ ‘เปปทีนพลัส’ ในระหว่างปี นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ แบรนด์ ‘วีพลัส’ เครื่องดื่มผสมเกลือแร่วิตามิน, แบรนด์ ‘สลิมม่า’ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของใยอาหาร แอลคาร์นิทีน และวิตามินบี ช่วยลดการดูดซึมและเผาผลาญไขมัน และแบรนด์ ‘เปปทีน โกลด์’ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเสริมภูมิต้านทาน โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้เจาะผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มและจัดจำหน่ายในช่องทางเฉพาะ (Selective Channel) เช่น ช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปยังตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ซึ่งเป็นช่องทางการจัดจำหน่ายที่เติบโตอย่างมากในปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดต่างประเทศยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ณ อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดเมียนมาร์ซึ่งเป็นตลาดหลักในต่างประเทศ
ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลนั้น มีการเติบโตที่โดดเด่นผ่านการออกผลิตภัณฑ์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ มีการ Crossover ระหว่างผลิตภัณฑ์ลูกอมสู่ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล นำกลิ่นหอมหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของลูกอมโอเล่รสสตรอเบอร์รี่ไปต่อยอดเป็นสินค้าอื่นๆ สร้างกระแสในหมู่ผู้บริโภคเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยแบรนด์ ‘เบบี้มายด์’ ออกผลิตภัณฑ์เบบี้มายด์ เบบี้ครีม แอนตี้ โพลูชั่นช่วยปกป้องผิวลูกน้อยจากมลภาวะและฝุ่น PM 2.5 รวมถึงแบรนด์ ‘ทเวลฟ์ พลัส’ และ ‘เอ็กซิท’ ก็ขยายตัวโดดเด่นจากการทำแคมเปญการตลาดอย่างต่อเนื่อง
ความสำเร็จครั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2563 จึงลงมติเสนอจ่ายเงินปันผลจากงวดผลการดำเนินงานปี 2562 ในอัตรารวม 1.0 บาทต่อหุ้น เป็นเงินจำนวน 3,004 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นเงินปันผลระหว่างกาลที่ 0.35 บาทต่อหุ้น และที่เหลือ 0.65 บาทต่อหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 8 พฤษภาคม 2563 และจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 พฤษภาคม 2563 โดยจะขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 29 เมษายน 2563
นายเพชร กล่าวว่า “ในปี 2562 ที่ผ่านมานั้น ถือเป็นปีที่การลงทุนในด้านนวัตกรรมได้แสดงผลให้เห็นอย่างชัดเจนผ่านการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะการต่อยอดทั้งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และมั่นใจได้ว่าจะได้เห็นนวัตกรรมใหม่ๆ เพิ่มขึ้นในปีนี้อย่างแน่นอน ส่วนการร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่นในการบุกตลาดใหม่ๆ และธุรกิจใหม่ๆ ในต่างประเทศนั้น ก็เป็นไปตามแผน บริษัทฯ จึงตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2563 ไว้ที่เลข 2 หลัก ”
สำหรับแผนลงทุนปีนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างดำเนินการขยายกำลังการผลิตการบรรจุเครื่องดื่มในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปีนี้ และดำเนินการก่อสร้างโรงงานขวดแห่งใหม่ในประเทศเมียนมาร์ มูลค่า 1,200 ล้านบาท ร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจในท้องถิ่น คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 ในขณะที่โรงงานเครื่องดื่มในเมียนมาร์ได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์และเตรียมเดินเครื่องจักรเชิงพาณิชย์ภายในไตรมาสที่ 1 ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันที่ดีขึ้น และช่วยเพิ่มอัตราการทำกำไรได้อย่างดี
www.mitihoon.com