ECF โชว์ฟอร์มปี 62 กำไรสุทธิเติบโต 35.17%

34

มิติหุ้น-ECF เผยผลประกอบการปี 62 รายได้รวม 1,290.90 ล้านบาท กำไรสุทธิ 39.27 ล้านบาท เล็งจ่ายปันผลหุ้นละ 0.014300  บาท ชูกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจปี 63 เพิ่มมาร์จิ้น บริหารจัดการต้นทุนการขายและการบริหาร ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ปรับโครงสร้างการจัดจำหน่าย เน้นช่องทางที่มีประสิทธิภาพ ขยายฐานลูกค้าใหม่ทั้งในและต่างประเทศ พร้อมพัฒนาสินค้าใหม่ ปั๊มยอดขาย ธุรกิจพลังงาน เดินหน้าเร่งสปีดลุยโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มินบู เมียนมาร์ ครบ 4 เฟส 220 เมกะวัตต์ ภายใน 2 ปี สร้างการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง

นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ผู้ผลิตและจำหน่าย เฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานปี 2562  บริษัทมีรายได้รวมทุกกลุ่มธุรกิจ 1,290.90 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,443.33 ล้านบาท หรือปรับตัวลดลง 10.56 % ซึ่งรายได้จากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นธุรกิจหลัก 1,195.30 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ 1,297.19 ล้านบาท อย่างไรก็ตามแม้ว่ารายได้ภาพรวมของบริษัทมีการปรับตัวลดลง แต่ทั้งนี้บริษัทมีกำไรสุทธิประจำปี  39.27 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 35.17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 29.05 ล้านบาท สาเหตุสำคัญเกิดจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ เมืองมินบู เมียนมาร์ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์เฟสที่ 1 ขนาด 50 เมกะวัตต์แรกเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ผลประกอบการของบริษัทมีแนวโน้มดีขึ้นนอกเหนือจากการทยอยรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทนแล้ว บริษัทยังมีการวางแผนงานเพื่อบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่าย ประกอบกับควบคุมค่าใช้จ่ายในการเข้าศึกษาความเป็นไปได้ในธุรกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เฟอร์นิเจอร์ให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด

 นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติจ่ายปันผลหุ้นละ  0.0143  บาท คิดเป็นจำนวนเงินรวมการจ่ายไม่เกิน 13.72ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราจ่ายปันผล 42% ของกำไรสุทธิของบริษัทหลังหักสำรองตามกฎหมาย โดยจะทำการกำหนดวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล(Record Date) ในวันที่ 5 พ.ค. 2563 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 22 พ.ค.2563 (ภายหลังวันที่ขออนุมัติจากประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 22 เม.ย 2563)

สำหรับภาพรวมธุรกิจในปีนี้ บริษัทมุ่งเน้นสร้างการเติบโตจากธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และธุรกิจพลังงาน  โดยธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มีสัญญาณการเติบโตที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ จากการจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ส่งออกไปต่างประเทศ มุ่งเน้นขยายตลาดกลุ่มลูกค้ารายใหม่ในญี่ปุ่น อินเดีย ตะวันออกกลาง และจีน ซึ่งถือเป็นลูกค้ารายใหญ่ ที่มีศักยภาพสามารถสร้างโอกาสการเติบโตของคำสั่งซื้อเฟอร์นิเจอร์ในอนาคตได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทมียอดคำสั่งซื้อสินค้าที่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2563 นี้ อีกทั้งยังมีกลุ่มลูกค้ารายใหญ่ที่มีศักยภาพอยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายราย เห็นได้จากตัวเลขยอดคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นไตรมาสที่ 1 มีสัญญาการเติบโตจากปีก่อนมาก

ขณะที่ตลาดในประเทศ บริษัทมีแผนปรับโครงสร้างการจัดจำหน่าย มุ่งเน้นกระตุ้นยอดขายในช่องทางจำหน่ายใหม่ ๆ ที่มีประสิทธิภาพ ผ่านร้านโมเดิร์นเทรดชั้นนำที่มีสาขาทั่วประเทศ ล่าสุดสามารถเพิ่มช่องทางจำหน่ายผ่านร้านโมเดิร์นเทรดได้อีก 2 ราย  ซึ่งแต่ละรายมีโอกาสการเติบโตผ่านการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้เริ่มออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อจำหน่ายในรูปแบบอุปกรณ์ก่อสร้างที่ใช้วัตถุดิบจากไม้ยางพารา เพื่อจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าผู้รับเหมาที่รับงานติดตั้งให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หลายรายของประเทศ ทั้งนี้ บริษัทพยายามรักษาสัดส่วนรายได้จากยอดขายต่างประเทศอยู่ที่ 55 % และในประเทศ อยู่ที่ 45 %

สำหรับธุรกิจพลังงานทดแทน ในปีนี้จะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้น โดยที่ผ่านมารับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลภาคใต้ขนาด 7.5 เมกะวัตต์ ขณะที่โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ขนาด 220 MW มินบู ประเทศเมียนมาร์ ที่เฟสแรก (50 MW) สามารถจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ COD และเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรงวดแรกเข้ามาเต็มในไตรมาส 4/62   ส่วนเฟสที่ 2 3 และ 4 อยู่ระหว่างวางแผนเพื่อก่อสร้างให้ครบโดยเร็วที่สุด ซึ่งหากครบทั้ง 4 เฟส บริษัทคาดการณ์รับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 80 -100 ล้านบาทต่อปี  ขณะเดียวกัน ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศที่อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้าลงทุน โดยบริษัทจะมุ่งเน้นในโครงการที่มีผลตอบแทนสูง และจะเน้นการเข้าลงทุนเองเป็นหลัก

อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15 % และเพิ่มอัตรากำไรสุทธิไม่น้อยกว่า 4-5 % โดยปัจจัยสนับสนุนการเติบโตมาจากการขยายตลาดของธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ และการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งปีนี้จะเห็นการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างชัดเจนมากขึ้น และคาดว่าจะเริ่มเห็นสัดส่วนกำไรสุทธิทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากธุรกิจต่าง ๆ ในปีนี้

www.mitihoon.com