ดัชนี SET index สัปดาห์ที่ผ่านมา ปรับลงแรงกว่าคาดมากลดลง -10.4% หลุดแนวรับสำคัญๆ ตั้งแต่ 1450 จุด และ 1400 จุด ปิดที่ 1340 จุด โดยปัจจัยหลักมาจากความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นอกประเทศจีนที่เริ่มกระจายตัวในวงกว้าง ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดการเงิน กังวลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจโลกใน 1H63 ที่อาจจะชะลอตัวลง จนทำให้เกิดภาวะ Recession หรือ การถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้สะท้อนมายังตลาดพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯที่กลับมาเข้าสู่ภาวะ Inverted yield curve ทำให้เกิดแรงขายในลักษณะ Panic sell ของนักลงทุน ในตลาดหุ้นทั่วโลก
สำหรับในเชิง Valuation เราประเมินตลาดหุ้นไทยขณะนี้ เรายังประเมินว่า “ไม่แพง” เนื่องจาก Earnings yield gap ที่ระดับ SET index 1340 จุดนั้น ยังมี Earnings yield gap สูงมากกว่า 5% แม้ในกรณีเลวร้ายที่ EPS ลดลงเหลือ 80 บาท/หุ้น (ต่ำกว่าปี 2562 ที่ราว ±90 บาท/หุ้น) Earnings yield gap ยังสูงราว 5% (ผลจากดอกเบี้ยต่ำ) และหากวิเคราะห์เชิงลึกลงไปอีกว่า PE ของ SET index ในขณะนี้นั้นไม่สะท้อน Valuation ที่แท้จริงของหุ้นส่วนใหญ่ในตลาดฯ เนื่องจากหากเราตัดหุ้นขนาดใหญ่ที่เพิ่งเข้า IPO ไม่นาน ที่มี Market cap อยู่อันดับต้นๆของตลาดหุ้น และมี PE สูงมาก อาทิ GULF, AWC เป็นต้น PE ของ SET index ขณะนี้นั้นน่าจะต่ำลงไปกว่าปัจจุบัน และ Earnings yield gap ก็จะอยู่ในระดับที่สูงกว่าในปัจจุบันอีก เช่นกัน
อย่างไรก็ดี สถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้นักลงทุนเลือกที่จะขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยงก่อน ทำให้แนวโน้ม SET index คาดว่าจะยังเป็นการ Sideway down ต่อ โดยอาจมีจังหวะการรีบาวด์สลับบ้าง ประเมินแนวรับ SET index สัปดาห์นี้ 1300 จุด และ 1280 จุด / แนวต้าน 1370 – 1380 จุด โดยแนะนำ i) นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ทยอยซื้อสะสมหุ้นพื้นฐานดีที่ Valuation ไม่แพง เน้นที่ Dividend yield ii) นักลงทุนที่รับเสี่ยงได้น้อย รอสถานการณ์เริ่มนิ่งกว่านี้ก่อน (คาดว่าเป็นช่วงปลายๆ มี.ค.) แล้วค่อยสะสมหุ้นหลักๆ เช่น หุ้นค้าปลีก สื่อสาร โรงไฟฟ้า
โดย สุโชติ ถิรวรรณรัตน์
www.mitihoon.com