มิติหุ้น- KBS ผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลแบบครบวงจร พร้อมรับมืออุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลเผชิญความท้าทายด้านผลผลิตในปี 63 จากภาวะภัยแล้งรุนแรงสุดในรอบ 40 ปี กางแผนบริหารการเพาะปลูกอ้อย พร้อมชูเทคโนโลยีเพิ่มคุณภาพและความหลากหลายผลิตภัณฑ์น้ำตาล สร้างโอกาสขายรับจังหวะราคาขาขึ้น และนำผลพลอยได้ต่อยอดสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด จากธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลจากการใช้วัตถุดิบกากอ้อย ผลักดันการเติบโต
นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายอย่างครบวงจร เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลปี 2563 เผชิญความเสี่ยงจากปัญหาภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี กดดันผลผลิตอ้อยะเดียวกัน จะนำน่นคงด้านผลผลิตอ้อยเข้าหีบมตั้งแต่ น้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายสีรำ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทและปริมาณน้ำตาลลดลงอย่างต่อเนื่อง จากปีฤดูการผลิต 2562/63 ที่คาดว่าจะมีอ้อยเข้าหีบลดลงแล้วกว่า 40% เหลือประมาณ 75-80 ล้านตันอ้อย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับประเทศผู้ผลิตและส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย ส่งผลให้ราคาน้ำตลาดตลาดโลกมีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันอยู่ที่ 14-15 เซนต์ต่อปอนด์
ทั้งนี้ บริษัทฯ เตรียมแผนรับมือปัจจัยลบดังกล่าว โดยเน้นบริหารพื้นที่เพาะปลูกเพื่อรักษาปริมาณและคุณภาพผลผลิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพหีบสกัดให้ได้ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อย (ยิลด์) จากการใช้เทคโนโลยีต่อยอดสร้างความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ครอบคลุมตั้งแต่ น้ำตาลทรายดิบ น้ำตาลทรายสีรำ น้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์และน้ำตาลทรายขาวผสมซูคราโลส (Sucralose) เพื่อตอบสนองลูกค้ากลุ่มผู้ผลิตรายย่อยและผู้บริโภคทั่วไปทั้งในประเทศและตลาดส่งออกในทวีปเอเชีย และนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตมาสร้างมูลค่าเพิ่มจากธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิง เป็นต้น
“แม้ปีนี้อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลมีความเสี่ยงด้านปัญหาภัยแล้ง แต่เราเตรียมแผนบริหารจัดการซัพพลายเชนไว้แล้ว ตั้งแต่การเพาะปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตทั้งในเชิงคุณภาพและปริมาณ การนำเทคโนโลยีมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลิตภัณฑ์น้ำตาล รับโอกาสราคาตลาดโลกอยู่ในช่วงขาขึ้น เพื่อตอกย้ำ KBS เป็นผู้นำธุรกิจน้ำตาลอย่างครบวงจร” นายอิสสระ กล่าว
นายรัฐวุฒิ แซ่ตั้ง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการตลาด KBS กล่าวว่า เนื่องจากสภาพอากาศแห้งแล้งฝนทิ้งช่วงนาน บริษัทฯได้ปรับแผนการส่งเสริมเพาะปลูกอ้อยแก่ชาวไร่คู่สัญญาในฤดูกาลใหม่ โดยเลื่อนระยะเวลาเพาะปลูกจากเดิมช่วงปลายปีที่ผ่านมา(อ้อยข้ามแล้ง) เป็นเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ (อ้อยต้นฝน) ในด้านการผลิตบริษัทฯ
มีเทคโนโลยี คอนดิชันนิ่งไซโลน้ำตาล ช่วยลดการจับตัวเป็นก้อน ทำให้ KBS สามารถผลิตน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ที่มีราคาจำหน่ายต่อหน่วยสูงกว่า ช่วยสร้างแบรนด์เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศให้มากขึ้น และน้ำตาลทรายที่ผลิตได้จะมีขนาดบรรจุภัณฑ์ต่างๆเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในกลุ่มต่างๆ ซึ่ง ประกอบไปด้วยขนาดบรรจุ 500 กรัม, 1 กิโลกรัม, 25กิโลกรัม, 50 กิโลกรัม, 1 ตัน, 25 ตัน(flexi bag) และ 30 ตัน(tank car)
นายรักกิติ ตั้งล้ำเลิศ ผู้อำนวยการ การเงิน KBS กล่าวว่า บริษัทฯ มุ่งเน้นการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพในทุกด้านและนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตมาสร้างรายได้เชิงธุรกิจ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่ใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิง ดำเนินการโดย KPP หรือ บริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี จำกัด ที่ KBS ถือหุ้นอยู่ 99.99% มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 73 เมกะวัตต์ ซึ่งมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 22 เมกะวัตต์ และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จำนวน 16 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลในปี 2562 ทำรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่หน่วยงานภาครัฐ 728 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 119.5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มี 608 ล้านบาท จากปริมาณจำนวนหน่วยในการขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีแผนจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี (“KBSPIF”) จำนวนไม่เกิน 2,800 ล้านบาท เพื่อระดมเงินไปลงทุนในโรงงานน้ำตาล และ โรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งใหม่ ที่อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา และรวมถึงโครงการอื่นที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกลุ่ม KBS ซึ่งกองทุนฯอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (สำนักงาน ก.ล.ต.)
www.mitihoon.com