ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ศุภาลัย หรือ SPALI โดย “ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า ปี 2562 มีปัจจัยที่ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว แต่บริษัทยังสามารถทำยอดขายได้กว่า 22,324 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 38% และแนวราบ 62% จากการเปิดตัวโครงการทั้งหมด 24 โครงการ
โดยบริษัททำรายได้รวม 23,957 ล้านบาท ลดลง 7% เมื่อเทียบกับปี 2561 และมีกำไรสุทธิ 5,403 ล้านบาท ลดลง 6 % เนื่องจากจำนวนโครงการที่เปิดตัวลดลงและมาตรการ LTV ใหม่ ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2562 ซึ่งรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมและแนวราบ โครงการต่างๆ แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สินทรัพย์เติบโตขึ้น 5 % ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโต 9% โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของ ผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 34%
ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.31% ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2562 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 38,655 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค. 2562 เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต จะเห็นได้ว่าสถานะของบริษัทมีความมั่นคงแข็งแรงยิ่งขึ้น และมีความเสี่ยงทางการเงินลดลง เพราะมีหนี้สินลดลง และค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง แต่ส่วนของผู้ถือหุ้นกลับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการกระจายการเติบโตไปในทำเลต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นทั้งการเพิ่มศักยภาพการเติบโตและการกระจายความเสี่ยงไปด้วย
สำหรับภาพรวมของ “ธุรกิจอสังหาฯในจังหวัดนครราชสีมา” ปัจจุบันบริษัทได้เข้าไปลงทุนอสังหาฯในจังหวัดอย่างต่อเนื่องรวม 5 โครงการ อาทิ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ นครราชสีมา, ศุภาลัย เบลล่า นครราชสีมา, ศุภาลัย วิลล์นครราชสีมา, ศุภาลัย พรีโม่ สุรนารี และ โนโว วิลล์ สุรนารี และโครงการที่ 6 ล่าสุดอย่าง “ศุภาลัย พรีมา วิลล่า นครราชสีมา” คฤหาสน์หรู Modern Luxury Style ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการกว่า 56 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้ยังมีที่ดินเปล่าที่ซื้อมาแล้ว ที่คอยการพัฒนาอีก 3 แปลง ซึ่งจะพัฒนาต่อเนื่องในปีต่อๆ ไป
สำหรับปี 2563 บริษัทมุ่งมั่นพัฒนากลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อผลักดันยอดขายให้สู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 26,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 24,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 30 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ และโครงการ คอนโดมิเนียม 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท
พร้อมรุกเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค พร้อมด้วยทำเลศักยภาพ อาทิ พระนครศรีอยุธยา พิษณุโลก และฉะเชิงเทรา เพื่อครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทั่วทุกภูมิภาค สำหรับในกรุงเทพฯ ปริมณฑลทำเลที่น่าสนใจยังเป็นส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีมากขึ้น และรถไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอย่าง สายสีเหลือง สีชมพู และสีส้ม ที่มีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากมีความต้องการของที่อยู่อาศัยสูงพร้อมมุ่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตของบริษัท
www.mitihoon.com