PTG กางแผนปี63 เล็งขึ้นแท่นผู้นำอันดับ 2 ธุรกิจพลังงานของคนไทย

567

มิติหุ้น-PTG ก้าวสู่สถานีบริการน้ำมันที่มียอดขายอันดับ 2 ของประเทศ ตั้งงบลงทุนปี 63 ทุ่ม 5,000 ล้านบาท วางเป้ายอดขายธุรกิจน้ำมันโต 15-20% เล็งเพิ่มสถานีบริการน้ำมันเป็น 2,200 แห่ง พร้อมลุยธุรกิจ LPG ภาคครัวเรือน และเพิ่มการให้บริการ PT Max card ระดับ Prestige ยกระดับและเพิ่มสิทธิประโยชน์แบบเต็มแมกซ์ และเดินหน้าโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์เต็มกำลังผลิตสนองนโยบายรัฐ

นาย พิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในปี 2563 จะเป็นปีที่โดดเด่น โดยบริษัทวางแผนใช้งบลงทุนประมาณ 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจหลัก (Core Business) 4,000 ล้านบาท กลุ่มธุรกิจนอนออยล์ (Non-oil) 500 ล้านบาท และกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Business) 500 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ทางธุรกิจให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

อีกทั้งบริษัทได้วางเป้ายอดขายน้ำมันเติบโตขึ้น 15-20% เพิ่มจำนวนสถานีบริการเป็น 2,200 แห่ง พร้อมขยายธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงขยายฐานสมาชิกผู้ถือบัตร PT Max Card เพิ่มเป็น 15 ล้านสมาชิก ซึ่งภายหลังจากการสำรวจสถิติพบว่า 72% ของสมาชิกนำ PT Max Card มาใช้ที่สถานีบริการเป็นประจำ ดังนั้นจึงมีความตั้งใจที่จะยกระดับความพิเศษแก่ลูกค้าประจำไปอีกขั้นด้วยการออกบัตร PT Max Card ระดับ Prestige เพื่อตอบแทนลูกค้าอย่างแท้จริง

พร้อมกันนี้บริษัทยังเดินหน้าหาพันธมิตรรายใหม่ๆ ที่จะมาช่วยทำให้ PT Max Card กลายเป็นบัตรที่มีดีลดี ๆ ที่จะมาเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของลูกค้าอย่างแท้จริง ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้ทาง PTG ได้จับมือกับ อ๊อตเทริ วอช แอนด์ ดราย และกลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย เพื่อนำเสนอสิทธิประโยชน์อันมากมายและไม่เหมือนใครให้กับลูกค้า PT Max Card

นายพิทักษ์ กล่าวอีกว่า ในปี 2563 โครงการปาล์มคอมเพล็กซ์จะเดินเครื่องเต็ม 100% และจะมีกำลังการผลิตไบโอดีเซล (B100) 500,000 ลิตรต่อวัน และน้ำมันปาล์มเพื่อบริโภค (โอเลอีน) 200,000 ลิตรต่อวัน ทั้งนี้จากนโยบายภาครัฐในการเพิ่มสัดส่วนการผสมน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในน้ำมันดีเซล 10 % หรือ B10 จากเดิม B7 ทำให้ความต้องการน้ำมันไบโอดีเซลขยายตัวส่งผลบวกต่อธุรกิจโดยปัจจุบันโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์เตรียมพร้อมเดินเครื่องเพื่อรองรับนโยบายรัฐบาลอย่างเต็มที่

ขณะเดียวกันในปีนี้บริษัทเตรียมพร้อมจัดจำหน่าย B10 ในสถานีบริการน้ำมันภายในวันที่ 1 มีนาคม 2563 ตามนโยบายของภาครัฐ โดยข้อดีของ B10 คือช่วยลดมลพิษและปริมาณฝุ่น PM2.5 สร้างสมดุลอุตสาหกรรมปาล์มของประเทศ พร้อมทั้งสร้างสมดุลปริมาณการใช้ในภาคพลังงานและเพื่อการบริโภค ตลอดจนสร้างเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมัน ขณะที่การขยายตัวของ B20 เราเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่รอบคอบ โดยมุ่งเน้นจุดจำหน่ายที่มีศักยภาพทำให้ปีที่ผ่านมาเรามีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 32.1%

นอกจากนี้ในธุรกิจก๊าซ LPG กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทตั้งเป้าหมายในปี 2563 ที่เตรียมจะขยายธุรกิจก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ภาคครัวเรือน เนื่องจากเห็นโอกาสในการทำตลาด จากปัจจุบันที่มีการจำหน่าย LPG ผ่านสถานีบริการในภาคขนส่งเท่านั้น  โดยพีทีจีคาดว่ายอดขายในส่วนของ LPG จะเติบโตได้ 30-40% จากปีที่แล้ว และยังตั้งเป้าที่จะขึ้นแท่นเป็นผู้ให้บริการสถานีก๊าซ Auto LPG อันดับ 1 ในประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย

“ในปี 2562 ที่ผ่านมานับเป็นอีกปีที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเราได้วางรากฐานให้พีทีจีก้าวขึ้นไปเป็นมากกว่าธุรกิจพลังงาน ซึ่งบนความมุ่งมั่นทุ่มเทที่เราทำมาโดยตลอดส่งผลให้เราก้าวขึ้นเป็นผู้นำสถานีบริการน้ำมันที่มียอดขายอันดับ 2 ของประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ และเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าในปี 2563 ที่เรากำลังก้าวสู่ปีที่ 33 นี้ จะเป็นปีที่น่าจับตามองกับความสดใหม่มากมายที่กำลังจะเกิดขึ้นรับกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ” นายพิทักษ์ กล่าว

www.mitihoon.com