ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ MINT โดย “นายพอล ชาลีส์ เคนนี่” กรรมการ เปิดเผยว่า บริษัทได้เข้าลงทุนสัดส่วน 70% ใน “บริษัท Spoonful Pte. Ltd. ในประเทศสิงคโปร์ หรือ Spoonful SG” และ “บริษัท สพูนฟูล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Spoonful TH” โดยใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นจำนวน 2,483 ล้านบาท
ทั้งนี้ Spoonful SG เป็นเจ้าของสิทธิแฟรนไชส์ของบอนชอนในประเทศไทย ส่วน Spoonful TH เป็นผู้ดำเนินการร้านอาหารบอนชอนที่จะขยายต่อไปในอนาคตในประเทศไทย โดยการเข้าลงทุนในครั้งนี้ ส่งผลให้ MINT เป็นผู้ดำเนินการร้านอาหารบอนชอนในประเทศไทย และเป็นเจ้าของสิทธิแฟรนไชส์ในระยะยาวแต่เพียงผู้เดียว
โดยสิทธิแฟรนไชส์ในครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำถึงความเชื่อมั่นของ MINT ในศักยภาพการเติบโตของตลาดไก่ทอด และคอนเซปต์แบรนด์ที่เป็นเอกลักษณ์ของบอนชอน อีกทั้งเป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับ MINT ด้วยแบรนด์บอนชอนที่แข็งแกร่งระดับโลก ผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ และศักยภาพที่สูงในการขยายสาขา นอกจากนี้ บอนชอนจะใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของ MINT เพื่อดำเนินการตามแผนกลยุทธ์ที่มีอยู่และในอนาคต เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป
MINT เชื่อมั่นว่า “บอนชอน” จะประสบความสำเร็จต่อไปในอนาคต และมีเป้าหมายที่จะขยายสาขามากกว่า 150 แห่งทั่วประเทศไทยภายในสิ้นปี 2567 (มีการเติบโตของจำนวนร้านอาหารเฉลี่ยต่อปีใน 5 ปีมากกว่าร้อยละ 25) ทั้งนี้ด้วยการใช้ประโยชน์จากร้านอาหารและแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารของ MINT “บอนชอน” จึงมีโอกาสในการขยายสาขาอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านภูมิศาสตร์ ช่องทาง หรือประเภทของร้าน โดยในกรุงเทพฯ นอกเหนือจากสาขาที่มีอยู่เดิมในศูนย์การค้า “บอนชอน” ยังสามารถขยายสาขาไปยังพื้นที่ค้าปลีกประเภทอื่นๆ อีกทั้งสาขาเพื่อการบริการจัดส่งอาหาร เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับแนวโน้มการบริการจัดส่งอาหารที่เติบโตอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ “บอนชอน” จะเปิดสาขาในเมืองสำคัญในต่างจังหวัดของประเทศไทย ด้วยปัจจุบัน “บอนชอน” มีร้านอาหารเพียง 2 สาขานอกกรุงเทพฯ
“บอนชอน” จะเติบโตอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยประโยชน์จากการดำเนินงานร่วมกันกับ MINT ซึ่งรวมถึงการใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มบริการจัดส่งอาหารที่แข็งแกร่งของ MINT เช่น แอปพลิเคชั่นสำหรับบริการจัดส่งอาหารและพนักงานจัดส่งอาหาร นอกจากนี้ ด้วยฐานการดำเนินงานด้านการจัดซื้อจัดจ้างของ MINT จะช่วยให้ “บอนชอน” สามารถใช้ประโยชน์จากการจัดหาวัตถุดิบส่วนกลาง ทั้งเพื่อราคาที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อความมั่นใจในคุณภาพและการจัดหาวัตถุดิบ อีกทั้ง บอนชอนจะสามารถพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานผ่านการตลาดและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของ MINT
ทั้งนี้ ยอดขายต่อร้านเดิม (Same-Store-Sales) ของ “บอนชอน”ยังคงแข็งแกร่งในช่วงสองเดือนแรกของปี 2563 ท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 โดยมีสาเหตุมาจากยอดขายจากช่องทางบริการจัดส่งอาหารที่แข็งแกร่ง ทั้งนี้ ด้วยความสามารถในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพกว่าอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึง อัตรากำไรขั้นต้นและอัตราการทำกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อม (EBITDA margin) จะช่วยให้ “บอนชอน” สามารถรับมือกับความสามารถในการทำกำไรที่อาจจะลดลงอันเนื่องมาจากสภาพแวดล้อมการดำเนินงานที่ท้าทายดังกล่าว
“การลงทุนในสิทธิแฟรนไชส์หลักของแบรนด์ “บอนชอน” ในประเทศไทยครั้งนี้เป็นการเน้นย้ำถึงกลยุทธ์ของบริษัทในการเพิ่มแบรนด์ในเครือร้านอาหาร และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทย และด้วยการดำเนินงานในประเทศไทยมาเกือบ 10 ปี บอนชอนได้นำมาซึ่งฐานลูกค้าที่เป็นกลุ่มคนไทยรุ่นใหม่ (กลุ่ม Millennials และ Generation Z) ซึ่งมีความภักดีสูงที่บริษัทจะสามารถจะต่อยอดได้ ”
www.mitihoon.com