ผู้สื่อข่าว มิติหุ้น รายงานว่า บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด แนะนำ “ซื้อ” หุ้น NER ราคาเป้าหมาย 2.90 บาท มีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการในปี 2563 เนื่องจากจะมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นมาจากโรงงานใหม่แห่งที่ 2 ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดใช้ปลายเดือนมีนาคม และสามารถที่จะรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 2 ได้ทันที โรงงานแห่งใหม่จะเข้ามาช่วยหนุนกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 170,000 ตัน/ปี รองรับคำสั่งซื้อที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ ทำให้กำลังการผลิตรวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 460,000 ตัน/ปี สำหรับโรงงานใหม่ปีนี้บริษัทตั้งเป้าการผลิตที่ร้อยละ 70 ของกำลังการผลิตรวม โดยมีคำสั่งซื้อจากลูกค้า สัญญา Long Term แล้วกว่าร้อยละ 40
ด้านสถานการณ์ COVID-19 ทั้งนีบริษัทมียอดขายที่พึ่งพิงการส่งออกคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45 โดนเป็นลูกค้าจีนร้อยละ 75 โดยสินค้าจะส่งปที่โรงงานในชิงเต่า มณฑลซานตง ซึ่งห่างจากอู่ฮั่นราว 700 กิโลเมตร ดังนั้นปัญหาช่วงที่เกิดโรคระบาดนั้นจึงเป็นเพียงการชะลอการส่งสินค้า เนื่องจากมีการหยุดทำงานของโรงงานและธนาคารราว 2 สัปดาห์ ซึ่งปัจจุบัน capacity โรงงานต่างๆได้เริ่มกลับมาดำเนินแล้วร้อยละ 80 ดังนั้นสินค้าในช่วงที่จะต้องส่งในเดือนกุมภาพันธ์ จะเลือนไปส่งในเดือนมีนาคม ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่องบในไตรมาสที่ 1
อย่างไรก็ดีมองว่ารายได้สำหรับปี เท่ากับ 20,853.25 ล้านบาท ขยายตัวกว่าร้อยละ 60.3 YoY โดยต้นทุนขายขยายอยู่ที่ 18,976.46 เพิ่มขึ้นร้อยละ 59.7 ต่ำกว่าการเพิ่มขึ้นนของยอดขายเนื่องมาจากมองว่าการมีกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นทำให้บริษัทสามารถที่จะผลิตสินค้าได้เองตามคำสั่งซื้อของลูกค้าไม่จำเป็นต้องสั่งซื้อสินค้าสำเร็จรูปเพื่อขาย ส่งผลให้ อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 9 จากปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 8.6 ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ 767.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 75.9 และค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ 333.1 ล้านบาท ปรับตัวขึ้นร้อยละ 50 เนื่องจาก มองว่ากำลังการผลิตที่เพิ่มบริษัทจำเป็นจะต้องใช้สินทรัพย์หมุนเวียนในการดำเนินงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อซื้อวัตถุดิบรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้า จำเป็นที่จะต้องมีการกู้เงินระยะสั้นเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทั้งปีเราประเมินกำไรสุทธิปี 2563 อยู่ที่ 805.53 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 49.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเติบโตโดดเด่น
www.mitihoon.com