บล.โกลเบล็ก จับตาหุ้นไทยมีลุ้นดิ่งหลุด 1,200 จุด ต่ำสุดในรอบ 4 ปี ชี้เป้าเก็บหุ้น Defensive- High Dividend

87

ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บล.โกลเบล็ก โดยนางสาว วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่อง หลังจากซาอุฯ เปิดฉากสงครามราคาน้ำมันโดยได้ออกมาตอบโต้รัสเซียด้วยการปรับลดราคาน้ำมัน และพร้อมที่จะเพิ่มการผลิตน้ำมัน 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเมษายนนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะชิงส่วนแบ่งตลาดจากรัสเซีย ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรง และส่งผลเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงานราคาน้ำมันร่วงหนักในต้นสัปดาห์ฉุดให้ดัชนีลงมาต่ำสุด 1,255.94 จุด ถือเป็นการปรับตัวลดลงต่ำสุดในรอบ 4 ปีนับจากวันที่ 7 ม.ค. 2559 ที่ดัชนี SET ปิดต่ำสุดที่ระดับ 1,224.83 จุด

ส่วนสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังกดดันตลาดต่อเนื่อง และการรายงานตัวเลขการส่งออกของประเทศจีนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2563 ลดลง 17.2% ขาดดุลการค้า 7.09 พันล้านดอลลาร์สวนทางคาดเกินดุลการค้า 2.46 หมื่นล้านดอลลาร์ ยิ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นการลงทุนต่อเนื่อง โดยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของไว้ในกรอบ 1,220-1,280 จุด และมีโอกาสที่จะปรับตัวหลุด 1,200 จุดได้หากสถานการณ์ต่างๆ เลวร้ายลงกว่าเดิม ขณะที่การประชุมคุณรัฐมนตรี (ครม.)ในวันนี้(10 มี.ค.) จะพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงต้องจับตาต่อไปว่าจะมีมาตรการอะไรที่มีผลเชิงบวกกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้มากน้อยระดับไหน

ชี้เป้าทยอยสะสมหุ้นตัวเด็ด

ด้านนายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย แนะนำทยอยสะสมหุ้น Defensive เช่น RATCH, TTW, ADVANC และ CHG หุ้น High Dividend Yield เช่น KKP, TISCO และ INTUCH และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเก็งกำไรว่ากนง. จะปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ เช่น BAM, MTC, BFIT และ AMANAH สำหรับหุ้นกลุ่มพลังงานแนะนำ “Wait & See” โดยหุ้นที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันลดลงเรียงลำดับมากไปน้อย ได้แก่ PTTEP, PTTGC PTT, TOP และ SPRC

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐและ LIBOR ยังปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากความกังวลเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 อีกทั้งซาอุดิอาระเบียประกาศลดราคาน้ำมันที่ส่งออกขายทั่วโลกลง 6-8 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลและมีแผนผลิตน้ำมันเพิ่มเป็นมากกว่า 10 ล้านบาร์เรลต่อวันในเดือนเม.ย. 63 ส่งผลให้หุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันปรับตัวลง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มเติม มองกรอบราคาทองคำในสัปดาห์นี้ที่ 1,675-1,720 ดอลลาร์ต่อทรอยออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองคำไทยที่ 24,860-25,600 บาทต่อบาททองคำ

ASPแนะเลือกหุ้นที่มีอัพไซด์

ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า หากวิเคราะห์ Valuation ของ SET Index ณ ปัจจุบัน 1255.94 จุด โดยพิจารณาผ่าน Market Earning Yield Gap ภายใต้ EPS63F ที่ระดับ 85.59 บาท/หุ้น พร้อมกับใช้ Bond Yield 1 ปี ณ ปัจจุบัน ที่ 0.80% จะได้ Market Earning Yield Gap เท่ากับ 6.24 % ถือว่าสูงมาก สูงกว่าวิกฤตการเมืองปี 2556 Market Earning Yield Gap สูงสุดอยู่ที่ 5.15 % และอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤตซับไพร์มเป็นต้นมา

ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงทำการคัดกรองหุ้นลงลึกกว่าพื้นฐานในช่วงที่ผ่านมา และมีโอกาสฟื้นตัวแรงกว่าตลาดสูง โดยเลือกหุ้นที่น่าสนใจลงทุน และผ่านเงื่อนไข 5 ข้อดังนี้ 1.ปรับฐานลงแรงกว่าตลาด นับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2562 ถึงปัจจุบัน (SET Index ลดลง 27.8%) 2.มี Upside > 20% 3.มี EPS Growth เติบโตได้ดีกว่าตลาด 4.แนะนำ “ซื้อ” 5.มี Beta > 1 (มีโอกาสฟื้นตัวแรงกว่าตลาด)

www.mitihoon.com