ดราม่าหน้ากากอนามัย.. บทสะท้อนความล้มเหลวนโยบายไทยแลนด์ 4.0

1451

 

ขณะที่ถนนทุกสายต่างลุ้นระทึกกันวันต่อวันว่า ประเทศไทยเราจะฝ่าวิกฤต “ไวรัสสูบนรก โควิด-19” ที่กำลังแพร่ระบาดออกไปทั่วโลกอยู่ในเวลานี้ได้หรือไม่?

แม้นายกฯ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะออกมายืนยัน นั่งยัน ในมาตรการรับมือวิกฤตไวรัส โควิด -19 ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการไป จะสามารถนำพาประเทศไทยฟันฝ่าวิกฤตไวรัสสูบนรกในครั้งนี้ไปได้แน่ โดยไม่จำเป็นต้อง “ปิดประเทศ” อย่างเพื่อนบ้านในภูมิภาคนี้

แต่เมื่อสแกนลงไปดูไส้ในของมาตรการทั้งหลายแหล่ที่รัฐบาลดำเนินการไป ทุกฝ่ายได้แต่ทอดถอนใจ และ “หายใจไม่ทั่วท้อง” ไม่มั่นใจว่า เราจะฝ่าวิกฤตไวรัสสูบนรกในครั้งนี้ไปได้แน่หรือ?

แม้เราจะเห็นความสำเร็จของรัฐบาลไต้หวันในการรับมือกับวิกฤตไวรัสสูบนรกที่ว่า จนได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีการบริหารจัดการในการรับมือกับวิกฤตไวรัสโควิด-19 ดีที่สุดของโลกในเวลานี้ โดยเฉพาะได้เห็นแนวทางในการจัดการสกัดกั้นการแพร่ระบาด และคัดกรองผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้า-ออกไต้หวัน การใช้เทคโนโลยีติดตาม และตรวจสอบ ผู้เดินทางเข้า-ออกที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงทั้งหลาย

โดยเฉพาะการจัดการกับปัญหาหน้ากากอนามัยที่ทำให้ประชาชนไต้หวันสามารถจะติดตาม ตรวตสอบกระบวนการผลิตและกระจายหน้ากากอนามัยจากโรงงานผลิตต้นทางไปยังร้านค้าในชุมชน สามารถจะตรวจสอบดูได้ว่า จะหาซื้อหน้ากากอนามัยได้จากร้านค้าใดบ้างในชุมชน แต่ละร้านมีสต๊อกหน้ากากเหลือมากน้อยเพียงใด ต่างสามารถจะติดตาม ตรวจสอบได้หมดแบบ “เรียลไทม์”

แต่พอหันมาดูกระบวนการบริหารจัดการกับหน้ากากอนามัยบ้านเรา ที่รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ป่าวประกาศมาโดยตลอดว่า ไม่มีปัญหา มีหน้ากากอนามัยอยู่ในสต็อกนับ 100-200 ล้านชิ้นนั้น เอาเข้าจริงกลับอันตรธานหายเข้ากลีบเมฆ สุดท้ายกลับพบว่า มีหน้ากากอนามัยจากไทยไปโผล่ขายอยู่เมืองจีนและต่างประเทศกันโจ๋งครึ่ม ขณะที่หมอ พยาบาล และบุคลาการทางการแพทย์ รวมทั้งประชาชนคนไทยยังขาดแคลนหน้ากากและต้องวิ่งพล่านหาซื้อกันได้อย่างยากเย็นยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร

เหนือสิ่งอื่นใด จนถึงวันนี้หน้ากากอนามัยที่รัฐป่าวประกาศว่า 11-12 โรงงานที่ผลิตได้วันละกว่า 1.2 -1.3 ล้านชิ้น หรือเดือนละ 35-36 ล้านชิ้นนั้น ถูกกระจายลงไปยังร้านรวง ร้านค้าใดบ้างก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ เพราะแม้แต่โควต้าจัดสรรที่กระทรวงพาณิชย์อ้างว่า จัดสรรไปให้กระทรวงสาธารณสุขวันละกว่า 7.5 แสนชิ้น ส่งให้ร้านยาเภสัชของสมาคมเภสัชกรรมทั่วประเทศ 30,000 – 40,000 แห่ง เอาเข้าจริง ทางสมาคมฯ เองกลับออกมากระซวกไส้ยืนยันว่า ไม่เคยได้รับ จนกลายเป็นประเด็นดราม่าที่จบลงด้วยการที่นายกฯ สั่งปลดอธิบดีกรมการค้าภายใน กลางอากาศ

ทั้งหลายทั้งปวงนั้น  มันชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของการบริหารจัดการหน้ากากอนามัย และสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ที่รัฐบาลไทยป่าวประกาศจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังโดยสิ้นเชิง!

เสียแรงที่ประเทศไทยป่าวประกาศออกไปทั่วโลก เราจะเป็นประเทศผู้นำในการให้บริการ 5จี ในเชิงพาณิชย์ก่อนประเทศอื่นใดในภูมิภาคนี้

แต่กับเรื่องง่ายๆ ในการบริหารจัดการหน้ากากอนามัย การสร้างระบบติดตาม ตรวจสอบ และกระจายสินค้าหน้ากากอนามัยว่า ถูกส่งไปให้ใครต่อใครบ้าง ทุกภาคส่วนกลับไม่สามารถติดตามตรวจสอบใดๆ ได้ ทุกอย่างล้วนมืดแปดด้านกันไปหมด ประชาชนต้องคอยเงี่ยหูฟังโลกโซเชียลจะเผยแพร่ข้อมูลร้านนั้นร้านนี้ ห้างนั้นห้างนี้ มีโควต้าหน้ากากอนามัยออกขาย ต้องคอย วิ่งรอกข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อจะไปเบียดเสียดเข้าคิวขอซื้อหน้ากากกันคนละ 5 -10 ชิ้น

ทำไมกับอีแค่แอพพลิเคชั่นง่ายๆ ในการติดตามตรวจสอบว่า กระบวนการ จัดสรรหน้ากากอนามัยจากโรงงานผู้ผลิตไปยัง ร้านค้าร้านรวงต่างๆ เหล่านี้ ที่เป็นเรื่องพื้นๆ งานง่ายๆ Simple ๆ ที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีระดับ 4จี/หรือ 5จีใดๆ เลย แต่ทั้งกระทรวงดีอีเอส กระทรวงพาณิชย์ และ สธ. หรือแม้แต่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กลับทำกันไม่เป็นหรือคิดไม่ได้

สิ่งเหล่านี้  มันสะท้อนให้เห็นถึง “ความล้มเหลว” ในการดำเนินนโยบาย Thailand 4.0 การขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัล ที่รัฐบาลป่าวประกาศกันปาว ๆ ๆ โดยสิ้นเชิง!

ซ้ำร้าย! ขณะที่รัฐบาลป่าวประกาศให้ประชาชนคนไทย หลีกเลี่ยงการเข้าร่วมกิจกรรมที่มีคนหมู่มาก ประกาศงดกิจกรรมสัมมนา ยกเลิกวันหยุดตามประเพณี สั่งปิดโรงหนัง โรงมหรสพ อาบ อบ นวดและสถานบันเทิงทุกชนิด เพื่อไม่ต้องการให้ผู้คนเดินทางหรือไปรวมกลุ่มจนอาจกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้อีก!

แต่เมื่อประชาชนที่ต้องขวนขวายแสวงหาหน้ากากอนามัยเพื่อใช้ปกป้องตนเอง ปกป้องครอบครัวหรือญาติมิตร โดยสั่งซื้อหน้ากากทางออนไลน์ จะได้ไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยงกับเชื้อโรค แค่ประชาชนจะสั่งซื้อหน้ากากอนามัยกันทางออนไลน์ ก็กลับกลายเป็นว่า ไม่สามารถทำได้ ภาครัฐกลับส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือเจ้าหน้าที่ศุลกากรบุกเข้าไปตรวจค้น ตรวจยึดบรรดาพัสดุ หน้ากากอนามัยที่ประชาชนซื้อขายกันทางออนไลน์กันเรียบวุธ

ทั้งที่การสั่งซื้อหน้ากากอนามัยทางออนไลน์เหล่านี้ เป็นสิ่งจำเป็นที่ประชาชนคนไทยต้องขวนขวายแสวงหากันมาเองทั้งสิ้น และแม้ราคาหน้ากากอนามัยที่มีการซื้อขายบนโลกออนไลน์นี้จะแพงกว่าท้องตลาด แต่นาทีนี้ วินาทีนี้ผู้คนก็พร้อมจ่ายขอให้ได้หน้ากากอนามัยมาปกป้องชีวิตตนเองและครอบครัวหรือญาติมิตรเท่านั้น ดีกว่าจะต้องออกไปงมเข็มหาซื้อหน้ากากอนามัยกันตามร้านรวงต่างๆ ที่ไม่รู้จะมีขายกันหรือไม่ หรือหากมีก็ต้องเบียดเสียดเข้าคิวแย่งซื้อกันราว “เปรตขอส่วนบุญ” กัน

ทั้งๆ ที่ สธ. และกระทรวงพาณิชย์ ตลอดจนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเอง ยังไม่สามารถจะสร้างความกระจ่างให้แก่ประชนได้เลยว่า หน้ากากอนามัยที่รัฐอ้างว่า มีการจัดสรรโควต้า กระจายออกไปยังร้านค้า ร้านรวงต่างๆ นั้นไปกระจุกหรือซุกอยู่แห่งหนตำบลใดบ้าง เหตุใดผู้คนถึงไม่สามารถหาซื้อได้

พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐที่บุกเข้าไปไล่ตรวจยึดหน้ากากอนามัยที่มีการซื้อขายทางอินไลน์เหล่านี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มันไม่ต่างไปจากการ “ปล้นสะดมภ์”  หน้ากากอนามัยโดยอาศัยอำนาจทางกฎหมาย โดยไม่มีการแยกแยะเลยว่า บรรดาหน้ากากอนามัยที่มีการจัดส่งหีบห่อ กันทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่เวลานี้ เป็นส่วนที่ประชาชนสั่งซื้อกันมาเองเพื่อจัดส่งไปให้ญาติพี่น้อง หรือเป็นส่วนที่เล็ดลอดออกมาจากโรงงานผลิต หรือนักการเมืองกักตุนไว้ขายแล้วนำออกมากระจายกันแน่ ทุกอย่างปนเปกันมั่วไปหมด

ก็ไม่รู้ว่าภาครัฐ และโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ ต้องการให้ประชาชนคนไทยต้องออกไป ซื้อหาหน้ากากอนามัยกันตามร้านรวงร้านขายยาร้านค้าขององค์กรเภสัชหรือที่กระทรวงพาณิชย์ กันอย่างนั้นหรือ ต้องเอาชีวิตไปสุ่มเสี่ยง ติดเชื้อโรคจากการเบียดเสียดแย่งซื้อหน้ากาก กันอย่างนั้นหรือ?

หนักก็เข้าเจ้าหน้าที่ที่บุกเข้าไปตรวจยึดพัสดุด่วนทั้งหลายแหล่ เพื่อจะควานหาหน้ากากอนามัยที่มีการจัดส่งกันทางไปรษณีย์ออนไลน์ หรือผู้ให้บริการจัดส่งด่วนทั้งหลายเหล่านี้ ยังบอกด้วยว่า ขอให้ประชาชนคนไทยอดทนรอกันอีกสักนิด เพราะเดี๋ยวโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยของ “เจ้าสัว” ที่มีเครือข่ายค้าปลีก ค้าส่งครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำก็จะผลิตหน้ากากอนามัยออกมากระจายขายให้ประชาชนได้ซื้อหากันในราคาถูก โดยไม่ต้อง ไปขวนขวายซื้อหาจากระบบออนไลน์กันแล้ว

สิ่งเหล่านี้มันหมายความว่าอย่างไร?

นี่รัฐบาลกระทรวงพาณิชย์กำลังไล่ปราบปรามตรวจจับผู้ค้าออนไลน์ทั้งหลายแหล่ เพื่อจะเอื้อให้แก่เจ้าสัวกลุ่มทุนผูกขาดการค้าหน้ากากอนามัยกันอย่างนั้นหรือ?

และจนถึงวันนี้ภาครัฐ ทั้งกระทรวงพาณิชย์ สาธารณสุข และกระทรวงดีอีเอสเอง ก็ยังไม่สามารถสร้างแอพพลิเคชั่นที่จะติดตาม ตรวจสอบว่า หน้ากากอนามัยที่ผลิตจากโรงงานทั้ง 11-12 แห่ง จำนวน 35 -40 ล้านชิ้นต่อเดือน ที่อ้างว่ามีการจัดสรร กระจายออกไปให้ผู้คนอย่างทั่วถึงนั้น ถูกกระจายลงไปยังร้านค้า ร้านรวงต่างๆ อย่างไร ? ประชาชนหรือภาคส่วนต่างๆ ไม่สามารถจะตรวจสอบใดๆ ได้เลย

ทั้งหลายทั้งปวงนั้น ล้วนสะท้อนให้เห็นความล้มเหลวในการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล นโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยสิ้นเชิง!!!!

ที่มา : http://www.natethip.com/news.php?id=1967

www.mitihoon.com