เผยสภาทองคำโลกคาดราคาทองปีนี้มีเสถียรภาพ หลังเงินไหลเข้ากอง ETFs ทองคำทั่วโลกแกร่ง
ทั้งเทคนิคและพื้นฐานชี้ปีนี้มีลุ้นแตะ $1,800 แม้ระยะสั้นเสี่ยงพักฐาน
วายแอลจีเผยราคาทองคำปีนี้ยังมีทิศทางขาขึ้น แม้บางช่วงราคาผันผวนแต่ปัจจัยบวกยังแน่น พบไตรมาส 1 กองทุน ETFs ทองทั่วโลกถือทองเพิ่มเกือบ 300 ตัน สภาทองคำโลกชี้เป็นสัญญาณบวกต่อราคาทองคำเหมือนที่เคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ส่วนเทคนิคยังสดใส แม้ระยะสั้นเผชิญแรงขายทำกำไร แต่ระยะยาวมีโอกาสลุ้นทดสอบ $1,800 แนะนักลงทุนใช้โอกาสที่ราคาย่อตัวลงเพื่อทยอยสะสมซื้อ
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า นับจากต้นปี 2563 ราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ได้สร้างระดับสูงสุดครั้งใหม่ในรายเดือน และรายปี ซึ่งขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 7 ปีครึ่ง บริเวณ 1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในระหว่างการซื้อขายของวันที่ 14 เม.ย. แม้ว่าจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาบ้าง แต่การอ่อนตัวลงของราคาทองคำไม่มาก และราคายังคงทรงตัวเคลื่อนไหวในระดับสูง และยังมีแนวโน้มราคาทองคำจะเป็นทิศทางขาขึ้นต่อไป
อีกทั้งยังพบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 เกิดกระแสเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETFs ทองคำทั่วโลกปริมาณ 298 ตัน ถือเป็นการถือครองทองคำเพิ่มในรูปแบบตันที่มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559 เฉพาะเดือน มี.ค.เดือนเดียว กองทุน ETFs ทองคำทั่วโลกถือครองทองคำเพิ่มมากถึง 151 ตัน ส่งผลให้การถือครองทองคำของ ETFs ทองคำทั่วโลกแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ที่ 3,185 ตัน นำโดยกองทุน SPDR ซึ่งเป็นกองทุน ETF ทองที่จดทะเบียนในอเมริกาเหนือ อีกทั้งยังเป็นกองทุน ETF ทองที่ใหญ่ที่สุดในโลกได้ถือครองทองคำเพิ่มในช่วงไตรมาสแรกของปี 73.75 ตัน ก่อนที่จะถือครองทองคำเพิ่มในช่วงครึ่งแรกของเดือน เม.ย.อีกจำนวน 54.69 ตัน ทำให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 20 เม.ย. SPDR ถือครองทองคำเพิ่มขึ้น 136.34 ตัน จากระดับ 893.25 ตันสู่ระดับ 1,029.59 ตัน แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่พ.ค. ปี 2556
นอกจากนี้ สภาทองคำโลก (World Gold Council) คาดว่า กระแสเงินทุนไหลเข้าการลงทุน ETFs ทองคำในปัจจุบันจะยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางความไม่แน่นอนของตลาดในวงกว้าง บวกรวมกับต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือทองคำลดลงจากการที่อัตราผลตอบแทนปรับตัวลงจึงเป็นปัจจัยหนุนการลงทุนในทองคำ ที่สำคัญ คือ จากสถิติในอดีตพบว่าในช่วง 3 ปีหลังจากการล้มละลายของ Lehman ในปี 2551 ที่เฟดได้ดำเนินมาตรการ QE 1-3 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น กองทุน ETFs ทองคำเพิ่มการถือครองทองมากกว่า 100% ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นกว่า 600% จากระดับต่ำสุดถึงระดับสูงสุด ดังนั้น หากเกิดกระแสเงินทุนไหลเข้า ETFs ทองคำต่อเนื่อง เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ราคาทองคำในปีนี้ได้
ทั้งนี้ ฝ่ายวิเคราะห์ของ YLG ประเมินว่า ราคามีโอกาสทดสอบระดับ 1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์อีกครั้ง ซึ่งหากผ่านได้ ประเมินแนวต้านโซน 1,788-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของช่วงเดือน ก.พ. ,ก.ย. และ ต.ค. ปี 2555 โดยถือเป็นเป้าหมายสำคัญของราคาทองคำในปีนี้ จึงแนะนำแบ่งทองคำออกขายทำกำไร เมื่อราคาปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณดังกล่าวเพื่อลดความเสี่ยง แต่หากราคาผ่านได้ สามารถชะลอการขายไปที่แนวต้านถัดไป
สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าซื้อ YLG ไม่แนะนำให้นักลงทุนไล่ราคา เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงแต่เน้นรอราคาอ่อนตัวลงทดสอบกรอบแนวรับแรกบริเวณ 1,611 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (High ของช่วงเดือน ม.ค. ปี 2020) หากยืนได้แนะนำเข้าซื้อหวังทำกำไรจากการดีดตัวขึ้น แต่หากยืนไม่ได้มุมมองเชิงบวกจะลดลง โดยอาจถอยจุดซื้อไปยังแนวรับถัดไปบริเวณ 1,566-1,547 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (1,566 =Low เดือน เม.ย.และ 1,547 =Low เดือน ก.พ.ปี 2020)
นักลงทุนสามารถปรึกษาด้านการลงทุนทองคำกับ YLG ได้ทางโทรศัพท์ 02-687-9888 รวมถึงสามารถติดตามบทวิเคราะห์ อัพเดทข่าวสารที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ข่าวโปรโมชั่น สัมมนา และข่าวประชาสัมพันธ์ของ YLG ผ่านทางหลากหลายช่องทาง อาทิ www.ylgbullion.co.th และ https://www.facebook.com/YLGGroup
www.mitihoon.com