มิติหุ้น- บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ “ซีพีเอฟ” (CPF) เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ฯ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป รวมถึงผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยหุ้นกู้ฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ A+ สะท้อนสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร และความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ โดยจัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไป ผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และจัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารออมสิน มีแผนจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือน มิ.ย.นี้
นายไพศาล จิระกิจเจริญ ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” (CPF) ผู้ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างยื่นข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ฯ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป รวมทั้งผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 2.80 – 3.00% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.30 – 3.40% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.65 – 3.75% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 15 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.80 – 4.00% ต่อปี หุ้นกู้ทั้งหมดมีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน โดยหุ้นกู้อายุ 4 ปี และ 7 ปี เป็นรุ่นที่จำหน่ายให้กับผู้ลงทุนทั่วไป สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนของหุ้นกู้แต่ละชุดจะมีการกำหนดและแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ หุ้นกู้ฯ ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ที่ระดับ A+ อันดับเครดิตดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย ตลอดจนการมีฐานการผลิตในหลายประเทศ รวมถึงการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท
วัตถุประสงค์ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ฯ ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้ประกอบธุรกิจทั่วไป และ/หรือเพื่อขยายธุรกิจ และ/หรือการลงทุนของกลุ่มซีพีเอฟ และ/หรือเพื่อ refinance หุ้นกู้และตั๋วแลกเงินบางส่วนที่ครบกำหนดในปีนี้ โดยคาดว่าน่าจะเสนอขายในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้
“ซีพีเอฟ” เป็นหนึ่งในผู้นำภูมิภาคในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ครอบคลุมประเภทสัตว์หลัก ได้แก่ สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ เป็ด กุ้ง และปลา ซึ่งสามารถจำแนกประเภทธุรกิจหลักเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจเลี้ยงสัตว์-แปรรูป และธุรกิจอาหาร ซึ่งมีการจำหน่ายสินค้าผ่านหลายช่องทาง ได้แก่ ซีพีเฟรชมาร์ท โมเดิร์นเทรด เป็นต้น ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพบนมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและกระบวนการทำงานที่รับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม นอกจากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซีพีเอฟยังมีการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 16 ประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม อังกฤษ อินเดีย สหรัฐอเมริกา กัมพูชา รัสเซีย ตุรกี ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ลาว เบลเยี่ยม ศรีลังกา โปแลนด์ บราซิล และแคนาดา ซึ่งแต่ละประเทศที่ซีพีเอฟเข้าไปลงทุน ถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังเป็น 1 ในสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices : DJSI) ประเภท Emerging Markets เป็นปีที่ 5 ติดต่อกัน และได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการ (Corporate Government : CG) ในระดับ “ดีเลิศ” ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 รวมถึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทในดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good Emerging Index ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งทั้ง 3 รางวัลเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการได้รับการยอมรับในศักยภาพการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and Governance: ESG) ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทริสเรทติ้งประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา โดยมีมุมมองว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทฯ จะอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น โดยคาดว่ารายได้จากยอดขายอาหารแช่แข็งจะเพิ่มขึ้นและจะช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงจากธุรกิจร้านอาหารได้บางส่วน และทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทฯ จะได้รับอานิสงส์จากราคาสุกรที่เพิ่มขึ้นในประเทศเวียดนามและภูมิภาคในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับต่ำ อุปสงค์ของไก่ส่งออกที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีนจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่ผ่านมาไม่นานนี้คือการซื้อกิจการของ Hylife ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจหมูแปรรูปคุณภาพสูงในประเทศแคนาดาอีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ฯ “ซีพีเอฟ” จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนอย่างแน่นอน
สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ (CPF) สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณ 100,000 บาท โดยศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงิน
www.mitihoon.com