CPF เตรียมออกหุ้นกู้ฯ คาดเสนอขายต้น มิ.ย. นี้ อายุ 4 – 15 ปี อันดับความน่าเชื่อถือ A+ ผลตอบแทนระหว่าง 2.80 – 4.00% ต่อปี

338

มิติหุ้น- บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือ ซีพีเอฟ (CPF) เตรียมออกและเสนอขายหุ้นกู้ฯ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป รวมถึงผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ โดยหุ้นกู้ฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ A+ สะท้อนสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร และความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ โดยจัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไป ผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และจัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารออมสิน มีแผนจัดจำหน่ายในช่วงต้นเดือน มิ.ย.นี้

นายไพศาล จิระกิจเจริญ ประธานผู้บริหารฝ่ายการเงิน บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ “ซีพีเอฟ” (CPF) ผู้ดำเนินธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ภายใต้วิสัยทัศน์ “ครัวของโลก” เปิดเผยว่า บริษัทฯ อยู่ระหว่างยื่นข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ฯ ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป รวมทั้งผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ได้แก่ หุ้นกู้อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 2.80 – 3.00% ต่อปี หุ้นกู้อายุ ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.30 – 3.40% ต่อปี หุ้นกู้อายุ 12 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.65 – 3.75% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 15 ปี อัตราดอกเบี้ยประมาณ 3.80 – 4.00% ต่อปี หุ้นกู้ทั้งหมดมีกำหนดชำระดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน โดยหุ้นกู้อายุ ปี และ ปี เป็นรุ่นที่จำหน่ายให้กับผู้ลงทุนทั่วไป  สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่แน่นอนของหุ้นกู้แต่ละชุดจะมีการกำหนดและแจ้งให้ทราบอีกครั้ง ทั้งนี้ หุ้นกู้ฯ ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2563 ที่ระดับ Aอันดับเครดิตดังกล่าวยังคงสะท้อนถึงสถานะความเป็นผู้นำของบริษัทในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารของไทย ตลอดจนการมีฐานการผลิตในหลายประเทศ รวมถึงการมีสินค้าและตลาดที่หลากหลาย อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความยืดหยุ่นทางการเงินจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท

วัตถุประสงค์ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ฯ ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปใช้ประกอบธุรกิจทั่วไป และ/หรือเพื่อขยายธุรกิจ และ/หรือการลงทุนของกลุ่มซีพีเอฟ และ/หรือเพื่อ refinance หุ้นกู้และตั๋วแลกเงินบางส่วนที่ครบกำหนดในปีนี้ โดยคาดว่าน่าจะเสนอขายในช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้

“ซีพีเอฟ” เป็นหนึ่งในผู้นำภูมิภาคในธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจร ทั้งสัตว์บกและสัตว์น้ำ ครอบคลุมประเภทสัตว์หลัก ได้แก่ สุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ เป็ด กุ้ง และปลา ซึ่งสามารถจำแนกประเภทธุรกิจหลักเป็น ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจอาหารสัตว์ ธุรกิจเลี้ยงสัตว์-แปรรูป และธุรกิจอาหาร ซึ่งมีการจำหน่ายสินค้าผ่านหลายช่องทาง ได้แก่ ซีพีเฟรชมาร์ท โมเดิร์นเทรด เป็นต้น  ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพบนมาตรฐานการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและกระบวนการทำงานที่รับผิดชอบต่อสังคมโดยรวม นอกจากการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ซีพีเอฟยังมีการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมทั้งสิ้น 16 ประเทศ ได้แก่ จีน เวียดนาม  อังกฤษ  อินเดีย  สหรัฐอเมริกา  กัมพูชา  รัสเซีย  ตุรกี  ฟิลิปปินส์  มาเลเซีย  ลาว  เบลเยี่ยม  ศรีลังกา โปแลนด์ บราซิล และแคนาดา ซึ่งแต่ละประเทศที่ซีพีเอฟเข้าไปลงทุน ถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพ มีโอกาสเติบโตในอนาคต

นอกจากนี้ ซีพีเอฟ ยังเป็น ในสมาชิกในกลุ่มดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices DJSI) ประเภท Emerging Markets เป็นปีที่ ติดต่อกัน  และได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการ  (Corporate Government CG)  ในระดับ  “ดีเลิศ” ติดต่อกันเป็นปีที่ รวมถึงได้รับการจัดอันดับให้เป็นบริษัทในดัชนีความยั่งยืน FTSE4Good Emerging Index ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งทั้ง 3 รางวัลเป็นการสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการได้รับการยอมรับในศักยภาพการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental, Social and GovernanceESG) ภายใต้การกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

ทริสเรทติ้งประเมินผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ “โควิด-19” และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ซบเซา โดยมีมุมมองว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับบริษัทฯ จะอยู่ในระดับปานกลางเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น โดยคาดว่ารายได้จากยอดขายอาหารแช่แข็งจะเพิ่มขึ้นและจะช่วยชดเชยยอดขายที่ลดลงจากธุรกิจร้านอาหารได้บางส่วน  และทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทฯ จะได้รับอานิสงส์จากราคาสุกรที่เพิ่มขึ้นในประเทศเวียดนามและภูมิภาคในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบอยู่ในระดับต่ำ  อุปสงค์ของไก่ส่งออกที่เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีนจะเป็นปัจจัยเกื้อหนุนที่สำคัญ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่ผ่านมาไม่นานนี้คือการซื้อกิจการของ Hylife ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจหมูแปรรูปคุณภาพสูงในประเทศแคนาดาอีกด้วย ทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่า หุ้นกู้ฯ “ซีพีเอฟ” จะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนอย่างแน่นอน

สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้ บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร หรือซีพีเอฟ (CPF) สามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณ 100,000 บาท โดยศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงิน 

www.mitihoon.com