ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค หรือ ECF โดย “นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์” กรรมการผู้จัดการ เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/63 จะอยู่ในทิศทางที่ดี ซึ่งเป็นผลมาจากบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนที่มีศักยภาพ ประกอบกับได้รับอานิสงส์ “บาทอ่อนค่า” จาก 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนต่างประเทศคิดเป็น 55% ของรายได้รวม
รวมถึงในช่วงไตรมาสนี้ บริษัทจะมีรายได้จาก “ธุรกิจพลังงาน” เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มินบู ประเทศเมียนมาร์ ขนาด 220 MW (ECF ถือหุ้น 20% ) ที่เริ่มจำหน่ายไฟฟ้าในเชิงพาณิชย์ (COD) เฟสที่ 1 ขนาด 50 MW ครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 27 ก.ย. 62 สามารถรับรู้รายได้ค่าไฟฟ้าโดยเฉลี่ยมากกว่า 20 ล้านบาทต่อเดือน และที่ผ่านมารับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลภาคใต้ขนาด 7.5 MW ด้วย
ญี่ปุ่น-จีนสั่งออเดอร์ไม่หยุด
ส่วน “ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์” แม้ตลาดในประเทศ อาจจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 บ้าง แต่ตลาดต่างประเทศยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าในประเทศญี่ปุ่น และจีน ยังทยอยสั่งออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วนออร์เดอร์สินค้าจากประเทศอินเดียนั้น ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหม่ที่เริ่มสั่งซื้อกับบริษัท มีการหยุดชะงักชั่วคราว เนื่องจากการปิดประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่ไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ เพราะมีสัดส่วนการสั่งซื้อในปริมาณไม่มาก คาดว่าหากอินเดียเริ่มเปิดประเทศได้อีกครั้ง โอกาสในการสั่งออเดอร์ก็จะเริ่มเข้ามาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
ทั้งนี้ประเมินว่าปัญหา COVID-19 จะสามารถคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้เห็นการเปิดประเทศของหลายประเทศ ดังนั้นคาดปริมาณออเดอร์ทั้งในประเทศและต่างประเทศจะกลับมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งปีหลังนี้
ผลงานทั้งปีโตสดใส
สำหรับภาพรวมธุรกิจทั้งปี 63 คาดจะเติบโตได้ดีกว่าปีก่อน เพราะบริษัทจะรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ มินบู ประเทศเมียนมาร์ ขนาด 220 MW (ECF ถือหุ้น 20% ) เฟสที่ 1 ขนาด 50 MW เข้ามาเต็มปี ทั้งนี้บริษัทมีแผนจะเริ่มการก่อสร้าง เฟสที่ 2 ภายในไตรมาสที่ 2/63 นี้ เน้นการบริหารจัดการเพื่อให้สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งหากครบทั้ง 4 เฟส (คาดปี 64) บริษัทคาดการณ์รับรู้ส่วนแบ่งกำไรอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 80-100 ล้านบาทต่อปี
www.mitihoon.com