YLG ย้อนสถิตวิกฤตซับไพร์มดันทองคำตลาดโลกทะยาน 174% หลังเฟดอัดฉีด QE-กดดอลลาร์อ่อน-ความวิตกเงินเฟ้อพุ่ง

66

 

มิติหุ้น-วายแอลจีเผยราคาทองคำยังอยู่ขาขึ้น แต่ระยะสั้นแนะแบ่งขายหากราคายังไม่ผ่านแนวต้าน 1,739-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หรือ 26,700-26,850 บาท เผยระยะยาวมีลุ้นย้อนรอยวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 ที่ราคาทองปรับตัวสูง 174% เหตุดอลลาร์อ่อนค่าจากนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ(QE)และการลดดอกเบี้ย รวมถึงความกังวลปัญหาเงินเฟ้อ พร้อมแนะนักลงทุนที่ต้องการซื้อทองใช้วิธีทยอยซื้อ เช่นซื้อสะสมแบบขั้นต่ำเริ่มต้น 10 บาท

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ในปีนี้แม้ทองคำจะเป็นขาขึ้นโดยล่าสุดก็ได้ปรับตัวสูงสุดในรอบเกือบ 8 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนเกิดความกังวลในการตัดสินใจในการลงทุนว่าควรขายทำกำไรหรือถือครองต่อไป ในภาวะเช่นนี้ฝ่ายวิเคราะห์ของ YLG มีคำแนะนำให้นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มากควรถือทองคำเอาไว้บางส่วน เพื่อรอลุ้นราคาทดสอบเป้าหมายของปีนี้บริเวณ 1,788-1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของช่วงเดือน ก.พ. ,ก.ย. และ ต.ค. ปี 2555 หรือ 27,500-27,600 บาทต่อบาททองคำ  แต่หากไม่อยากแบกรับความเสี่ยงอาจแบ่งทองคำออกขายทำกำไร เมื่อราคาปรับตัวขึ้นเข้าใกล้แนวต้านบริเวณ 1,739-1,747 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หรือ 26,700-26,850 บาทต่อบาททองคำ  สำหรับสัปดาห์นี้  ผู้ที่ต้องการเข้าซื้ออาจทยอยซื้อสะสมหากราคาอ่อนตัวลงทดสอบกรอบแนวรับแรกบริเวณ 1,690  ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 25,950 บาทต่อบาททองคำ โดยเผื่อเงินลงทุนไว้สำหรับเข้าซื้อบริเวณแนวรับถัดไป 1,647  ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 25,300 บาทต่อบาททองคำ

สำหรับปัจจัยบวกที่ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในระยะนี้มาจากเงินทุนไหลเข้ากองทุน ETFs ทองคำทั่วโลก และการคาดการณ์ว่าธนาคารกลางหลายแห่งทั่วโลกจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของ COVID-19  ทั้งนี้ เมื่อเทียบเคียงจากสถิติในอดีต  หลังเกิดวิกฤตซับไพร์มในปี 2551 เป็นผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ต้องผ่อนคลายนโยบายการเงินทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ย  ควบคู่ไปกับการอัดฉีดเงิน QE ส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง  รวมถึงกระตุ้นความวิตกว่าการอัดฉีดเงินในปริมาณมากเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอาจผลักดันให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation)  ครั้งนั้น  ราคาทองคำในตลาดโลกทะยานขึ้นสูงจาก 700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในเดือนพ.ย. 2551  ไปสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในเดือนก.ย. 2554  นั่นเท่ากับว่าราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมากถึง 1,220 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ คิดเป็นเพิ่มขึ้น 174%  ส่วนราคาทองคำในประเทศปรับตัวสูงขึ้นจาก 12,100 บาทต่อบาททองคำในเดือนพ.ย. 2551   สู่ระดับ 26,850 บาทต่อบาททองคำในเดือน ก.ย. 2554 หรือ ปรับตัวขึ้นมากถึง 14,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ คิดเป็น เพิ่มขึ้น 121%

ดังนั้น หากพิจารณาจากสถิติ จึงมีความเป็นไปได้ที่ระยะยาวราคาทองคำจะปรับขึ้นอีกมากตราบเท่าที่สภาพแวดล้อมทางการเงินยังผ่อนคลายดังเช่นปัจจุบัน  อย่างไรก็ดี  ราคาจะสามารถขึ้นในเปอร์เซ็นต์ที่มากเท่าหลังวิกฤตซับไพร์มได้นั้นจะต้องมีการทะลุผ่านแนวต้านสำคัญทางเทคนิคในระดับต่างๆ  พร้อมกันนี้จะต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานเข้ามาผลักดันเพิ่มเติม  โดยเฉพาะความต้องการดอลลาร์สหรัฐในฐานะสกุลเงินปลอดภัยที่ดำเนินอยู่ในปัจจุบันจะต้องบรรเทาลง  ขณะที่ความวิตกเกี่ยวกับการอ่อนค่าของสกุลเงินและภาวะเงินเฟ้อจะต้องเพิ่มขึ้น  เช่นเดียวกับที่เกิดความวิตกดังกล่าวในช่วงปี 2551

ทั้งนี้ในส่วนของผู้ที่ต้องการลงทุนในทองคำแต่มีเงินทุนไม่มากนั้น สามารถเริ่มลงทุนด้วยการแบ่งซื้อครั้งละ 10 บาท ผ่านโปรแกรม YLG GOLDSAVING หรือ บริการออมทองผ่าน  www.ylggoldsaving.com   ซึ่งใช้เงินลงทุนเพียงครั้งละ 10 บาทเท่านั้น โดยลักษณะของการออมอยู่ในรูปแบบของการซื้อทองคำสะสมเริ่มต้นเพียงครั้งละ 10 บาท จุดเด่นที่สำคัญ  คือ  ผู้ออมสามารถกำหนดราคาในการเข้าซื้อทองคำได้เองจากการดูราคาเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ และสามารถเข้ามาซื้อทองคำในรูปแบบการออมทองได้ในราคาที่ต้องการตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ซื้อสามารถซื้อขายได้ทุกระดับราคาไม่ว่าจะสะสมได้เท่าไหร่ก็สามารถขายได้ แต่หากต้องการได้รับทองคำเก็บไว้ผู้ออมจะต้องสะสมทองคำไปจนครบจำนวน 1 สลึง จึงจะสามารถไถ่ถอนนำทองคำกลับไป หรือ จะออมต่อเนื่องเพื่อสะสมความมั่งคั่งก็สามารถทำได้

นักลงทุนสามารถปรึกษาด้านการลงทุนทองคำกับ YLG ได้ทางโทรศัพท์ 02-687-9888

www.mitihoon.com