OSP โชว์กำไรสุทธิไตรมาส 1/63 ทำได้ 926 ล้านบาท เติบโต 4.2% เอ็ม-150 ซี-วิต และเบบี้มายด์ เติบโตต่อเนื่อง

187

มิติหุ้น- OSP เผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1/63 ทำกำไรสุทธิ 926 ล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 6,687 ล้านบาท ครองความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลังด้วยส่วนแบ่งรวม 54% พร้อมนำ ‘ซี-วิต’ ขึ้นทำสถิติครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดตลอดกาล ช่วยผลักดันภาพรวมเติบโตต่อเนื่องแม้เจอปัจจัยเสี่ยงจากโควิด-19 ระบุมาจากผลจากความแข็งแกร่งของพอร์ตสินค้า ศักยภาพในการปรับตัวและขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างตรงจุดและทันท่วงที ทั้งนี้ OSP มีแผนเดินหน้ารับมือวิกฤตอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเร่งเดินหน้าเพิ่มไลน์การผลิตเครื่องดื่มรับดีมานต์ และตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพในครึ่งปีหลัง

นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหารและ CEO บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2563 (มกราคม-มีนาคม 2563) บริษัทฯ ยังรักษาอัตราการเติบโตได้ตามแผน แม้ว่ามีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม โดยมีกำไรสุทธิ 926 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และมีรายได้จากการขายอยู่ที่ 6,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยมาจากจุดแข็งของ OSP ที่มีตราสินค้าแข็งแกร่งทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและของใช้ส่วนบุคคลที่เข้าถึงและตอบโจทย์ความต้องการผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด และสามารถพัฒนานวัตกรรมได้ตรงความต้องการและทันสถานการณ์

สำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนั้น OSP ยังครองความเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ด้วยส่วนแบ่งการตลาดรวมเพิ่มขึ้นเป็น 54% โดยมีแบรนด์ เอ็ม-150 มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นและยังคงครองอันดับ 1 ของตลาดส่วนกลุ่มเครื่องดื่มฟังก์ชันนอลดริงก์ (Functional Drink) มีอัตราเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง จากพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาใส่ใจสินค้าเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้แบรนด์ ‘ซี-วิต’ มีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเป็น 31.3% และช่วยผลักดันให้ภาพรวมตลาดฟังก์ชันนอลดริงก์ในไตรมาสนี้เติบโตถึง 16.1%

ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลเติบโตได้ดี จากจุดแข็งของทีมวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างตรงจุดและทันเหตุการณ์ เช่น การออกผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ 70% สำหรับล้างมือที่มีเอกลักษณ์และคุณสมบัติพิเศษต่างจากสินค้าอื่นๆ ในท้องตลาด ได้แก่ เจลล้างมือและสเปรย์ทำความสะอาดมือภายใต้แบรนด์ ‘โอเล่’ ที่โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมซิกเนเจอร์ของลูกอมโอเล่ เพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่มองหาเจลล้างมือที่มีกลิ่นหอมและ ผลิตภัณฑ์ ‘เบบี้มายด์ แนชเชอรัล แฮนด์ ซานิไทเซอร์ เจล’ สำหรับคุณแม่ที่ต้องการแอลกอฮอล์ทำความสะอาดมือสำหรับผิวอันบอบบางของลูกน้อย เพิ่มความมั่นใจในความอ่อนโยนด้วยสารสกัดอโลเวร่าออร์แกนิกที่ผ่านการรับรองจากสถาบันรับรองออร์แกนิกระดับโลก ECOCERT® 

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตของช่องทางอีคอมเมิร์ซ ด้วยยอดขายเติบโตสูงถึง 3 เท่า โดยแบรนด์ที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภค ได้แก่ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล อาทิ เบบี้มายด์ และแบรนด์ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่ม ได้แก่ ‘สลิมม่า’ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของใยอาหาร แอลคาร์นิทีน และวิตามินบี ช่วยลดการดูดซึมและเผาผลาญไขมัน และ ‘เปปทีน โกลด์’ เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเสริมภูมิต้านทาน

นอกจากนี้ การดำเนินโครงการ Fit Fast Firm อย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการตลาดยังคงส่งผลให้ลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องดื่มเพื่อตอบดีมานต์ของตลาดยังคงเป็นไปตามแผนงานและเมื่อเสร็จสมบูรณ์ จะช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 10-15% ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้

สำหรับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ต่อธุรกิจของโอสถสภานั้น นายเพชร กล่าวว่า “สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อหลากหลายธุรกิจ แต่เนื่องจากโอสถสภายังคงแข็งแกร่งจากการมีพอร์ตสินค้าอุปโภคบริโภคที่หลากหลาย ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในทุกกลุ่ม และจากการที่บริษัทฯ ได้เตรียมแผนรับมือล่วงหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่จะมีการระบาดรุนแรง ทั้งแคมเปญการตลาด ด้านการผลิต ซัพพลายเชน และการจัดส่งสินค้า ส่งผลให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ โดยไม่หยุดชะงัก แม้ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ที่สำคัญ บริษัทฯ ยังคงดูแลพนักงานให้ปลอดภัยจากโควิด-19 ยังไม่มีแผนที่จะปลดพนักงานออก และพร้อมจะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการยับยั้งโควิด-19 อย่างสุดความสามารถ”

www.mitihoon.com