TNR โชว์ Q1/63 กำไรสุทธิ 11 ลบ.เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า ท่ามกลางปัจจัยลบ COVID-19

196

 

มิติหุ้น-บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ฝ่าปัจจัยลบ COVID-19 ทำกำไรสุทธิไตรมาสแรก 11 ล้านบาท เติบโตกว่า 3 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากยอดขายสินค้ากลุ่ม OEM และอัตรากำไรกลุ่มธุรกิจงานประมูลที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รายได้จากการขายและบริการเติบโต 6%

นายอมร ดารารัตนโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR ผู้ผลิตและจำหน่ายถุงยางอนามัยจากน้ำยางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯ ผลักดันผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2563 อยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีรายได้จากการขายและบริการ (ตามงบการเงินรวม) 363.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายและบริการ 343.2 ล้านบาท ปัจจัยมาจากยอดขายผลิตภัณฑ์ถุงยางอนามัยในกลุ่มธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ที่เติบโตได้ดี และบริษัท บ็อก เอเชีย กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ TNR มียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่กำไรสุทธิในไตรมาส 1/2563 อยู่ที่ 11.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิเพียง 3.4 ล้านบาท และหากไม่นับรวมรายได้พิเศษจากค่าลิขสิทธิ์แบรนด์ PLAYBOY ซึ่งเป็นรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา ถือว่าบริษัทฯ มีกำไรสุทธิเติบโตค่อนข้างมาก โดยตัวเลขกำไรที่เพิ่มขึ้นส่วนหนึ่งมาจากยอดขายกลุ่มธุรกิจงานประมูล (Tender) ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นและมีแรงหนุนที่ดีจากอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯหลังจากเงินบาทอ่อนค่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

“แม้ว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมาจะมีปัจจัยลบจาก COVID-19 ที่แพร่ระบาดทั่วโลก แต่เราก็ยังสามารถทำผลการดำเนินงานดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ ได้รุกเข้าหาลูกค้าเพิ่มขึ้นส่งผลให้ยอดขายกลุ่มธุรกิจ OEM เติบโตได้ดี ส่วนกลุ่มธุรกิจงานประมูล จากเดิมที่เข้ามาเติมเต็มปริมาณการผลิตเพื่อให้ได้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลดลง แต่ในไตรมาสแรกปีนี้เราสามารถทำอัตรากำไรได้ค่อนข้างดี” นายอมร กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TNR กล่าวว่า สำหรับทิศทางการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรก บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขายเติบโตขึ้นจากปีก่อน โดยปัจจุบันมีอัตราการเดินเครื่องจักรผลิตสินค้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 70-75% ถือว่าค่อนข้างสูง เนื่องจากต้องมีกำลังการผลิตคงเหลือบางส่วนไว้รองรับช่วงที่ปรับไลน์การผลิตและซ่อมบำรุงเครื่องจักร โดยคาดว่าจะสามารถรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยในระดับดังกล่าวไว้ได้ตลอดไตรมาส 2 นี้ เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาจากคู่ค้าในตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน ซึ่งมีความกังวลว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนสินค้าประกอบกับถุงยางอนามัยเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มเครื่องมือทางการแพทย์ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจมากนัก

ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2563 ในวันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม 2563 เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 6 บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) เลขที่ 1 ถนนเจริญราษฎร์ แขวงทุ่งวัดดอน เขตสาทร กรุงเทพฯ

www.mitihoon.com