มิติหุ้น-กลุ่มศรีสวัสดิ์ เดินหน้าใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินใหม่ เผยปรับปรุงย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค 63 ลั่นไม่กระทบภาพรวมการดำเนินงาน ยันคุณภาพลูกหนี้เหมือนเดิม ระบุเอ็นพีแอลขยับขึ้นมาแตะที่ระดับ4.9% เพราะหลักเกณฑ์การจัดชั้นหนี้ที่เข้มงวดขึ้น ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1/2563 กำไรเพิ่มขึ้น26%
นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SAWAD เปิดเผยว่า บริษัทและบริษัทย่อยได้นำมาตรฐานการรายงานทางการเงินใหม่มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยได้มีการปรับปรุงย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ซึ่งประกอบด้วยมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน (TAS 32 TFRS 7 และ TFRS 9) และที่เกี่ยวกับสัญญาเช่า (TFRS 16)
นางสาวธิดา กล่าวต่อว่า การนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัท โดยเฉพาะตัวเลขหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) หากบริษัทยังคงใช้นโยบายเดิม(มาตรฐานเดิม)หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(เอ็นพีแอล) จะอยู่ที่ 3.82% หากแต่ที่ขยับขึ้นมาแตะอยู่ที่ระดับ4.9% เนื่องจากตามมาตรฐานการบัญชีใหม่ TFRS 9 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า 2562 (มาตรฐานเดิม)เอ็นพีแอลอยู่ที่ระดับ 3.96% หากพิจารณาจะเห็นว่า หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ยังอยู่ในระดับเดิม แต่เนื่องจาก TFRS 9มีนโยบายการตัดหนี้สูญที่เข้มข้นกว่าเดิม โดยหนี้สูญจะตัดได้ต่อเมื่อพิสูจน์ได้ว่าไม่สามารถเรียกเก็บหนี้ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตามตัวเลขเอ็นพีแอลระดับดังกล่าวบริษัทสามารถบริหารจัดการได้และเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับเอ็นพีแอลที่เคยใช้มาตรฐานเดิม
“จริงๆแล้วคุณภาพลูกหนี้ของบริษัทเหมือนเดิม แต่เพราะมาตรฐานใหม่ที่มีการจัดชั้นหนี้เอ็นพีแอลที่เข้มงวดขึ้น เลยทำให้ตัวเลขเอ็นพีแอลสูงขึ้น แต่ก็ถือว่าขยับขึ้นไม่มาก เพราะเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปี 62 ที่ใช้มาตรฐานเดิม”นางสาวธิดา กล่าว
ขณะที่ผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2563 บริษัทและบริษัทย่อยมีผลกำไรรวมสุทธิ 1,100.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 228.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 26.23% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 871.89 ล้านบาท โดยมีรายได้ดอกเบี้ย 2,085.47 ล้านบาท เทียบกับรายได้ดอกเบี้ยงวดเดียวกันของปีก่อน 1,657.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 427.78 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 25.81%
นางสาวธิดา กล่าวต่อว่า การที่รายได้ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการเติบโตของพอร์ตลูกหนี้เพิ่มขึ้น 17.75% จาก 34,145.51 ล้านบาท ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/2562 เป็น 40,206.99 ล้านบาท ในช่วงสิ้นสุดไตรมาส 1/2563 ซึ่งการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อมาจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องตามนโยบายของกลุ่มบริษัท
“กลุ่มศรีสวัสดิ์ ได้เริ่มนำมาตรฐานบัญชีใหม่มาใช้ ปรับปรุงย้อนหลังตั้งแต่ต้นปี ซึ่งไม่ได้กระทบภาพรวมผลประกอบการ ที่ผ่านมาเราได้เตรียมความพร้อมมาตลอด ปฏิบัติทุกอย่างตามกรอบและหลักเกณฑ์ของหน่วยงานกำกับดูแล”นางสาวธิดากล่าว
www.mitihoon.com