มิติหุ้น-“เจเอเอส แอสเซ็ท” หรือ J นำพาธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ และพื้นที่เช่าทำกำไรในงวด Q1/63 อยู่ที่ 16.6 ล้านบาท โตจากงวดเดียวกันปีก่อน 3,203% ส่วนรายได้จากการขายและบริการอยู่ที่กว่า 165 ล้านบาท ภายใต้การบริหารของ “สุพจน์ สิริกุลภัสสร์” ซีอีโอ เร่งบริหารจัดการ ควบคุมต้นทุนค่าเช่า และต้นทุนทางการเงิน อย่างรอบคอบ แม้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมเป็นต้นมา มีพื้นที่เช่าและศูนย์การค้าปิดให้บริการตามมาตรการภาครัฐ แต่ยังมีพื้นที่บางส่วนสร้างกระแสเงินสดเข้ามา และคอนโด Newera ที่มียอดโอนอย่างแข็งแรง อย่างไรก็ดี บริษัทฯ รับโอกาสฟื้นตัวจากมาตรการคลายล็อกดาวน์ตั้งแต่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา และโอกาสสร้างฐานรายได้อย่างสม่ำเสมอ จากแผนเปิดตัวคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ “The Jas Village อมตะ” ในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ ยึดหัวหาดศูนย์การค้าชุมชนในพื้นที่ EEC และมีโครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่ บนถนนคู้บอน กรุงเทพฯ คาดเปิดไตรมาส 3 ปีหน้า
นายสุพจน์ สิริกุลภัสสร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J เปิดเผยถึง ผลประกอบการไตรมาส 1/2563 รายได้จากการขายและบริการอยู่ที่ 165.1 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.7 จากรายได้ค่าเช่าปรับตัวลดลง เนื่องจาก บริษัทมีการปิดสาขา IT Junction ที่มีผลการดําเนินงาน ที่ไม่ได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้อื่นๆ เท่ากับ 4 ล้านบาท ซึ่งเป็นส่วนของเงินสนับสนุนทางการตลาด และได้ทําสัญญาจะซื้อจะขายและโอนคอนโดมิเนียมภายใต้โครงการ Newera ไปแล้วกว่า ร้อยละ 70 ของจํานวนห้องทั้งหมด
ขณะที่ กำไรสุทธิอยู่ที่ 16.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.1 ล้านบาท หรือโตร้อยละ 3,202.8 กําไรขั้นต้นอยู่ที่ 111.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 426 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 21.2 ล้านบาท เนื่องจาก ต้นทุนค่าเช่าที่ลดลงซึ่งเป็นผลจากมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่มีผลบังคับใช้ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีการบันทึกการขาดทุนจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในไตรมาสที่ 1/2563 ที่ผ่านมา เนื่องจาก การปรับใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 จํานวน 55 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมธุรกิจภายใต้การบริหารของบริษัทฯ ณ ไตรมาส 1/2563 พื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้าภายใต้ชื่อ IT Junction จำนวน 36 สาขา ศูนย์การค้าชุมชนภายใต้แบรนด์The Jas จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ The Jas วังหิน , The Jas รามอินทรา , Jas Urban ศรีนครินทร์ อีกทั้ง มีธุรกิจส่วนสนับสนุน เช่น การบริหารฟู้ดคอร์ท ภายใต้แบรนด์ “Urban Food Ville” สวนสนุกในร่ม แบรนด์ “Totem Kingdom” และธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โครงการคอนโดมิเนียม “Newera” 1 แห่ง นับเป็นการกระจายกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ให้มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
นอกจากนี้ เพื่อพร้อมรับโอกาสและสร้างฐานรายได้อย่างสม่ำเสมอ ในโครงการคอมมูนิตี้มอลล์แห่งใหม่ “The Jas Village อมตะ” ใกล้นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ จังหวัดชลบุรี ซึ่งจะเปิดตัวโครงการภายในไตรมาส 3/2563 นี้ พร้อมรับกำลังซื้อจาก EEC ที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และมีโครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่ ถนนคู้บอน กรุงเทพฯ ที่กำลังจะก่อสร้างอีก 1 โครงการ คาดเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 3/2564 เป็นศูนย์การค้าชั้นเดียว และรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์แบบเปิด เพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคที่เข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าของบริษัทฯ ได้
“ในช่วงไตรมาส 1/2563 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ยังคงมีกระแสเงินสดจากการดําเนินงานในส่วนของพื้นที่ค่าเช่าในศูนย์การค้าที่ยังไม่ปิดตามนโยบายของภาครัฐ และมีกระแสเงินสดบางส่วนจากการโอนคอนโดมิเนียม Newera ซึ่งมีห้องที่สามารถทยอยขายได้อีก ร้อยละ 30 ของจํานวนห้องทั้งหมด และการเริ่มเปิดดําเนินการของโครงการศูนย์การค้าแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี แม้ภาพรวมต้องปิดสาขาและศูนย์การค้าตามมาตรการภาครัฐ ส่วนของพื้นที่เช่าสําหรับผู้ค้ารายย่อย IT Junction และศูนย์การค้าของบริษัททั้ง 3 ศูนย์การค้า ส่งผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เนื่องจาก บริษัทฯ ได้ให้ส่วนลดค่าเช่ากับคู่ค้าที่ได้รับผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้าด้วย แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ได้ เร่งดําเนินมาตรการในการลดผลกระทบดังกล่าวอย่างรวดเร็ว จึงทําให้ผลกระทบของสถานการณ์ดังกล่าวมีจํากัด และ สามารถบริหารจัดการได้” นายสุพจน์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เพื่อที่จะรักษาผลการดําเนินงานให้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวน้อยที่สุด บริษัทฯ ได้รับความช่วยเหลือ และมาตรการที่บริษัทได้ดําเนินการไปแล้ว ได้แก่ มาตรการในด้านการลดค่าใช้จ่ายในการดําเนินงานในธุรกิจพื้นที่เช่าจากผู้ให้เช่าในระหว่างช่วงที่ศูนย์การค้าปิดดำเนินการ รวมทั้ง ส่วนลดค่าเช่าจากเจ้าของที่ดิน สําหรับศูนย์การค้าที่เป็นสิทธิการเช่าทั้งสองแห่ง ในช่วงเดือนเมษายน และได้ลดต้นทุนในการดําเนินงาน ในด้านค่าสาธารณูปโภคที่เกี่ยวข้อง และการลดต้นทุนการบริหาร ทําให้ต้นทุนค่าเช่ารวมของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสําคัญเมื่อเทียบกับช่วงดำเนินงานปกติ จึงทําให้ค่าใช้จ่ายหลักของบริษัทฯ ลดลงตามสภาวะการณ์ของการลดลงของรายได้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ ดําเนินการเจรจากับสถาบันการเงิน เพื่อที่จะลดภาระการผ่อนชําระสินเชื่อ และได้ดําเนินการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินภายใต้มาตรการช่วยเหลือของภาครัฐ ประเภท Soft Loan ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งบริษัทได้รับการสนับสนุน จากสถาบันการเงินเป็นอย่างดี และทำให้บริษัทฯ รักษาสภาพคล่องในการดําเนินการได้ตลอดทั้งปี
สำหรับความพร้อมในการเปิดพื้นที่เช่าและศูนย์การค้าชุมชน ขานรับภาครัฐบาลประกาศคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 2 โดยบริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข เพื่อให้ลูกค้าทุกคนมั่นใจว่าจะได้รับบริการที่สะอาด ปลอดภัย และจับตาพฤติกรรมผู้บริโภคในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่กับการช้อปปิ้ง new narmal lifestyle โชว์จุดเด่นศูนย์การค้าของบริษัทฯ เป็นแบบเปิด และอยู่ในแหล่งชุมชน มีร้านค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างครบครัน
www.mitihoon.com