มิติหุ้น-ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้หยุดพักการซื้อขายหลักทรัพย์ บล. เออีซี (AEC) ตั้งแต่วันที่ 25 พคค. 63 เนื่องจากได้รับแจ้งจากสำนักงาน ก.ล.ต. ว่า AEC มีเงินกองทุน สภาพคล่องสุทธิ (NC) ต่ำกว่าศูนย์ติดต่อกันเกิน 5 วันทำการ ซึ่งเป็นเหตุให้บริษัทต้องระงับการดำเนินธุรกิจตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต.นั้น เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 63 เวลา 18.03 น. AEC ได้ชี้แจงข้อมูลดังกล่าวแล้ว (รายละเอียดตามข่าวของ AEC วันที่ 26 พ.ค. 63) ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงอนุญาตให้ซื้อขายหลักทรัพย์ของ AEC โดยปลดเครื่องหมาย “SP” ตั้งแต่วันที่27 พ.ค.63 ทั้งนี้ ขอให้ผู้ลงทุนศึกษาข้อมูลของ AEC ด้วยความระมัดระวังรอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุน
บล.เออีซีเข้าลงทุนหุ้นกู้ THAI
ขณะที่นายชองอี ไต้ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เออีซี (AEC) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงสาเหตุที่ทำให้เงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) และอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เนื่องจากว่าในการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ที่มีการลงทุนในสัดส่วนที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับ NC ของบริษัทฯ จะต้องคำนวณ Large Exposure Risk – “LER” วิธีที่ 2 ตามประกาศ ที่ สธ. 50/2560 และ สธ.61/2562 เรื่อง การคำนวณและรายงานการคำนวณเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการลงทุนในหุ้นกู้ THAI (ที่ถูกลด credit rating จาก A เป็น C อย่างกะทันหัน) และหุ้นกู้อื่นที่ถือถึงแม้จะเป็น Investment grade ที่สูงมากในระดับไม่ต่ำกว่า BBB ถึง AA ได้แก่ หุ้นกู้ PTTGC SGP BAM BTS EA FPT ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีฐานะการเงินมั่นคงเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และหุ้นกู้ TUC ซึ่งเป็นหุ้นกู้ของบริษัท ทรูมูฟเอชยูนิเวอร์แซลคอมมิวนิเคชั่น จำกัด (เป็นบริษัทย่อยของ บมจ.ทรูคอร์ปอเรชั่น สัดส่วนการถือหุ้นอยู่ 100%) และหุ้นกู้ TBEV ซึ่งเป็นหุ้นกู้ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์
แต่ด้วยการลงทุนในหุ้นกู้ข้างต้นมีมูลค่าในแต่ละรายการในสัดส่วนที่สูงเกินกว่าร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับ NC ของบริษัทฯ จึงเป็นเหตุให้บริษัทฯ ต้องคำนวณค่าความเสี่ยง LER วิธีที่ 2 โดยปรับค่าความเสี่ยงของหุ้นกู้ที่มีการลงทุนในสัดส่วนที่สูงเกินกว่าร้อยละ 75 เมื่อเทียบกับ NC ของบริษัทฯ เป็น 100% ทำให้หุ้นกู้ดังกล่าวไม่สามารถนับเป็น liquid asset ตามหลักการ NC ได้ทั้งจำนวน ถึงแม้ว่าผู้ออกหุ้นกู้ดังกล่าวยังมีฐานะการเงินมั่นคงและมี credit rating ดีและยังคงคาดว่าจะได้รับการชำระหนี้คืน ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ระดับ NC และ NCR ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด
เปิดแผนระยะสั้นแก้ปัญหา
บริษัทจะดำเนินการยื่นแผนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ภายใน 30 วัน เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าวบริษัทฯ ได้กำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาไว้ดังนี้ แผนระยะสั้น โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 7/2563 เมื่อวันที่ 21 พ.ค. 63 มีมติให้ดำเนินการระดมทุนด้วยการกู้ยืมเงินด้อยสิทธิ การขายหุ้นสามัญที่บริษัทฯ ถือครองอยู่ และการลด Port การลงทุนในห้นกู้ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการ ส่วนแผนระยะยาว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 6/2563 เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 63 ได้มีมติเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมและบุคคลโดยเฉพาะเจาะจง จำนวน 300 ลบ. ซึ่งจะแล้วเสร็จกลางเดือนส.ค. 63 ซึ่งจะทำให้ระดับ NC และ NCR กลับมาเป็นบวก และอยู่ในเกณฑ์ที่สำนักงาน ก.ล.ต. กำหนด และขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้บริษัทกลับมาดำเนินธุรกิจตามปกติได้ สำหรับการออกหุ้นกู้วงเงิน 2,000 ลบ. นั้น ในกรณีที่การออกหุ้นเพิ่มทุน ไม่ทำให้ระดับ NC และ NCR อยู่ในระดับที่เป็นบวก หรือตามเกณฑ์ที่กำหนดบริษัทจะออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิให้มีมูลค่าเพียงพอที่จะทำให้ระดับ NC และ NCR เป็นบวก หรือตามเกณฑ์ที่กำหนด
ในระหว่างที่บริษัทฯ กำลังดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วนนั้น จะมีผลกระทบดังนี้
-
ลูกค้าจะไม่สามารถเพิ่มสถานะการลงทุนในหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในทุกประเภทบัญชี บัญชีกองทุนส่วนบุคคล และบัญชีซื้อขายหน่วยลงทุน
-
บริษัทฯ จะดำเนินการโอนย้ายบัญชีและทรัพย์สินของลูกค้าภายในระยะเวลาตามที่เกณฑ์กำหนด ทั้งนี้ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของลูกค้า บริษัทจะดำเนินการโอนย้ายตามความประสงค์ของลูกค้าให้แล้วเสร็จภายใน 10 วันทำการ เว้นแต่จะได้รับการผ่อนผันระยะเวลาจากสำนักงาน ก.ล.ต. แต่หากมีความจำเป็นและสมควรเพื่อป้องกันมิให้มูลค่าทรัพย์สินของลูกค้าได้รับความเสียหาย
-
บริษัทฯ จะยังคงรับคำสั่งจากลูกค้าในการลดหรือปิดสถานะการลงทุนในหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้าได้
-
ส่วนธุรกิจการเป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย และธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทกิจการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ของบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้
-
ธุรกิจการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ที่ดำเนินงานมาก่อนการระงับการทำธุรกิจ บริษัทยังคงดำเนินการดูแลลูกค้าต่อไปได้
ผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ กล่าวคือ Q1/63 บริษัทมีรายได้รวม 34.41 ลบ. แบ่งเป็นรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ 15.31 ลบ. (44.49%), ค่าธรรมเนียมและบริการอื่น 10.24 ลบ. (29.76%), (เช่น รายได้ค่าธรรมเนียมการจัดจำหน่ายหุ้นกู้, รายได้ที่ปรึกษาทางการเงิน, รายได้กองส่วนบุคคล, รายได้การให้ยืม/ยืมหลักทรัพย์,รายได้จากการแนะนำลงทุนตั๋วแลกเงิน, รายได้ค่านายหน้าในการซื้อขายหน่วยลงทุน), กำไร(ขาดทุน)จากเงินลงทุน, รายได้ดอกเบี้ย, รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์
ทั้งนี้ภายหลังถูกระงับการดำเนินธุรกิจบริษัทจะยังคงมีรายได้จากค่าธรรมเนียมที่ปรึกษาทางการเงินจากสัญญาเดิมก่อนการระงับการทำธุรกิจ และรายได้ค่านายหน้าจากการที่ลูกค้าขายหลักทรัพย์เท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายจะลดลงจากค่าใช้จ่ายผันแปรจากการดำเนินธุรกิจ ทั้งนี้ การหยุดประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อสินทรัพย์รวมของบริษัท แม้ว่าจะมีการขาย Port ลงทุนที่เป็นหุ้นกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องตามข้างต้น
บริษัทฯ คาดว่าจะดำเนินการตามแผนงานที่ยื่นต่อสำนักงาน กลต. ให้แล้วเสร็จ ตามกรอบเวลาที่กำหนดไว้ภายใน 90 วัน แต่อย่างไรก็ตามแผนงานทั้งหมดบริษัทฯ จะเร่งดำเนินการเพื่อให้เงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NC) และอัตราส่วนเงินกองทุนสภาพคล่องสุทธิ (NCR) อยู่ในระดับตามเกณฑ์ที่กำหนดโดยเร็วที่สุดและขออนุญาตจากสำนักงาน ก.ล.ต. ให้กลับมาประกอบธุรกิจได้ตามปกติ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับผู้ถือหุ้น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้เสีย บริษัทฯ จะรายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานต่อผู้ลงทุนให้ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป
www.mitihoon.com