YLG เผยหลังคลายล็อกดาวน์เฟส 3 ตลาดทองออนไลน์-ออฟไลน์คึกคักแพ็กคู่ ล่าสุดส่วนต่างราคาเข้าสู่ปกติเหลือ 100 บ. ทำกำไรส่วนต่างง่ายขึ้น

50

 

มิิติหุ้น-วายแอลจีคาดหลังคลายล็อกดาวน์เฟส พฤติกรรมซื้อทองคำออนไลน์จะยังคงคึกคักต่อเนื่อง เพราะกลายเป็น New Normal ของผู้บริโภคยุคใหม่ ขณะที่การซื้อผ่านหน้าร้านก็จะคึกคักไม่แพ้กัน เพราะบางส่วนยังชื่นชอบการไปเลือกซื้อเอง พร้อมมองหลังส่วนต่างราคาซื้อ-ขายปรับลดลงมาสู่ระดับปกติที่ประมาณ 100 บาท จะหนุนนักลงทุนระยะสั้นกลับเข้ามาลงทุนมากขึ้น เพราะเพิ่มโอกาสทำกำไร  มองทิศทางทองคำระยะสั้นยังมีแรงขายสลับออกมาเมื่อใกล้ถึงจุดสูงสุดของปีที่ 1,7651,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หรือ 26,45026,050 บาท  เน้นกลยุทธ์ขึ้นขาย ลงซื้อ พร้อมกำหนดจุดตัดขาดทุน

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า หลังการคลายล็อกดาวน์เฟส 3 ตลาดทองคำมีแนวโน้มจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ  แม้การระบาดของ COVID-19 จะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนไทยเกี่ยวกับการซื้อทองคำ ไปสู่การซื้อทองคำผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์มากยิ่งขึ้น  เกิดความต้องการจัดส่งทองคำแบบเดลิเวอรี่ส่งตรงถึงบ้านก็พุ่งสูงขึ้น  ซึ่งถือเป็น New Normal ของวงการทองคำ อย่างไรก็ดี  เนื่องจากทองคำเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง ชาวไทยบางส่วนจึงยังนิยมไปเลือกซื้อ หรือ ขายทองคำที่ร้านทองด้วยตนเอง  ดังนั้นจึงมั่นใจว่าภาพรวมการซื้อ-ขายทองคำจะคึกคักขึ้นทั้งในแง่ของออนไลน์และออฟไลน์ ควบคู่กันไป

นอกจากนี้ในช่วงที่ทั่วโลกทำการล็อกดาวน์นั้นส่งผลให้การขนส่งและการซื้อขายทองคำได้รับผลกระทบ จึงทำให้ส่วนต่างราคาซื้อ-ขายทองคำในประเทศเพิ่มขึ้นสูงเป็น 300 บาทต่อบาททองคำ  จึงเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับนักลงทุนระยะสั้น (Day Trade) ที่ต้องรอการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำนานยิ่งขึ้นจึงจะสามารถขายทำกำไรได้  ซึ่งการถือนานขึ้นย่อมจะส่งผลต่อการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนไปด้วย  ดังนั้นเมื่อส่วนต่างราคาซื้อขายกลับมาเป็นปกติ  จึงมีแนวโน้มจะดึงดูดนักลงทุนทองคำประเภท Day Trade ให้กลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง  ทำให้คาดว่าปริมาณการซื้อขายทองคำเพื่อการลงทุนอาจเพิ่มสูงขึ้น  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ทองคำมีกรอบการแกว่งตัวกว้างขึ้น  ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสที่นักลงทุนสามารถเข้ามาทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำได้

อย่างไรก็ดีในส่วนของปัจจัยพื้นฐานนั้น  แม้ยังมีปัจจัยที่หนุนราคาทองคำในระยะยาวยังคงอยู่ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่อยู่ในระดับต่ำ การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินและการคลังทั่วโลก  ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐ  รวมถึงปัจจัยระยะสั้นอย่างเหตุจลาจลเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายจอร์จ ฟรอยด์  แต่ความต้องการสินทรัพย์เสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะนี้  ท่ามกลางความหวังว่าเศรษฐกิจโลกจะพลิกฟื้นหลังจากทั่วโลกลับมาเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งเป็นปัจจัยกดดันให้ทองคำถูกแรงขายทำกำไรสลับออกมาเป็นระยะ  จะเห็นได้ว่าเมื่อราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้บริเวณระดับสูงสุดของปีนี้  มักจะมีแรงขายทำกำไรสลับออกมาทุกครั้ง  ดังนั้น YLG จึงยังคงแนะนำให้นักลงทุนแบ่งทองคำออกขายทำกำไรเมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ระดับสูงสุดของปีนี้  บริเวณ 1,7651,739 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หรือ 26,45026,050 บาทต่อบาททองคำ หากผ่านได้ค่อยถือต่อไปรอขายบริเวณแนวต้านโซน 1,7881,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 26,80027,900 บาท ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของช่วงเดือน ก.พ. ,ก.ย. และ ต.ค. 2555

ขณะที่การเข้าซื้อ  อาจรอราคามีการปรับตัวลดลงและไม่หลุดแนวรับ  เบื้องต้นคาดการณ์แนวรับแรกบริเวณ  1,6901,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์  หรือ  25,30025,150 บาทต่อบาททองคำ (ราคาไทยคำนวณจากค่าเงินบาท ณ ระดับ 31.60 บาท/ดอลลาร์)  ที่สำคัญนักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการไล่ซื้อพร้อมกำหนดจุดตัดขาดทุนประกอบการลงทุนทุกครั้ง โดยนักลงทุนสามารถปรึกษาด้านการลงทุนทองคำกับ YLG ได้ทางโทรศัพท์ 02-687-9888  รวมถึงสามารถติดตามบทวิเคราะห์  อัพเดทข่าวสารที่ส่งผลต่อราคาทองคำ  ข่าวโปรโมชั่น  สัมมนา  และข่าวประชาสัมพันธ์ของ YLG ผ่านทางหลากหลายช่องทาง  อาทิ   www.ylgprecious.co.th และ https://www.facebook.com/YLGGroup

www.mitihoon.com