มิติหุ้น – นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับเพิ่มยอดขายงวดปี 63 เป็น 35,000 ล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะมียอดขาย 29,000 ล้านบาท หลังจากที่ในช่วงครึ่งแรกของปี บริษัทมียอดขายแล้ว จำนวน 22,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 63% ของเป้าหมายยอดขายที่ 35,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในช่วง 5 เดือนแรก บริษัททำการปิดขายโครงการไปแล้ว 19 โครงการ มูลค่า 27,200 ล้านบาท
ส่วนช่วงครึ่งปีหลัง มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 12 แห่ง มูลค่า 20,900 ล้านบาท ซึ่งจะเน้นโครงการแนวราบที่เป็นรูปแบบ Strategic Flagship ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบ จำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวม 11,700 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริ 2 โครงการ มูลค่า 3,500 ล้านบาท ,บ้านเดี่ยวแบรนด์สราญสิริ 1 โครงการ มูลค่า 1,900ล้านบาท, โครงการทาวน์โฮม แบรนด์อณาสิริ 4 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท, โครงการสิริเพลส 3 โครงการ มูลค่า 2,100 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 2 แห่ง มูลค่า 2,600 ล้านบาท
ดังนั้นจึงทำให้ในปีนี้ บริษัทได้ปรับเพิ่มเป้าหมายยอดโอนเป็น 39,000 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่ 33,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม-พฤษภาคม) บริษัทมียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้วที่ 18,200 ล้านบาท โดยเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง จำนวน 25,000 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกเป็นรายได้ ประกอบกับเป็นยอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการร่วมทุน จำนวน 14,000 ล้านบาท ซึ่งจะบันทึกเป็นกำไรจากการลงทุน
โดยในช่วงครึ่งปีหลังจะมีโครงการคอนโดมิเนียมเสร็จใหม่ จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายเฉลี่ยแล้ว ได้แก่ 1.โครงการ เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, 2.โครงการ เดอะ เบส เพชรเกษม, 3.โครงการ XT เอกมัย และ 4.โครงการ La Habana หัวหิน
ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่ารวม 50,700 ล้านบาท แบ่งเป็น Backlog จากโครงการที่บริษัทพัฒนาเอง จำนวน 35,851 ล้านบาท และเป็น Backlog จากโครงการร่วมทุน จำนวน 14,889 ล้านบาท ซึ่ง Backlog ทั้งหมด จะทยอยรับรู้ในไตรมาส 2-4/63 มูลค่ารวม 16,200 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ถึงปี 2566
ขณะเดียวกันบริษัทตั้งเป้าในช่วง 3 ปี (63-65) จะมียอดขายสะสมเป็นระดับ 120,000 ล้านบาท ด้วยการวางเป้าหมายยอดขายในปีนี้เป็น 35,000ล้านบาท และในปี 64 จะเพิ่มเป็น 4,000ล้านบาท จากนั้นคาดในปี 65 จะเพิ่มเป็น 45,000ล้านบาท และตั้งเป้าจะเป็นผู้ครองตลาดอันดับ 1 ในโครงการบ้านเดี่ยว และเป็นอันดับที่ 3 ในตลาดทาวน์เฮ้าส์
www.mitihoon.com