มิติหุ้น-วายแอลจีเผยหลังทองคำทำสถิติราคาปรับขึ้นมาสูงสุดในรอบ 8 ปี 8 เดือน พบปีนี้ทองคำให้ผลตอบแทนสูงเป็นอันดับหนึ่ง เพียง 6 เดือนทองคำในตลาดโลกให้ผลตอบแทนกว่า 16% สูงกว่าปีที่แล้วทั้งปีให้ผลตอบแทนที่ 10% ขณะที่ผลตอบแทนทองคำในรูปเงินบาทพุ่งแรงกว่า ครึ่งปีอยู่ที่ 20% มองภาพรวมปีนี้มีลุ้นแตะ 1,920 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ พร้อมแนะนักลงทุนถือครองทองคำในพอร์ต 5-10% เพื่อกระจายความเสี่ยง และจับตา 5 ปัจจัยที่มีผลต่อราคาทองคำใกล้ชิดทั้งความเสี่ยง COVID-19 ระบาดรอบ 2 – การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของเฟด – สงครามการค้าจีน สหรัฐ – ปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์หลายประเทศ – กองทุนทองคำและธนาคารกลางต่างๆเข้าถือครองทองคำเพิ่ม
นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดทองคำกลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยราคาทองคำพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดบริเวณ 1,789 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ผ่านมาครึ่งปีผลตอบแทนขึ้นไปกว่า 16% ซึ่งถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับผลตอบแทนปีที่แล้วทั้งปีอยู่ที่ 10% และถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ จึงเป็นแรงจูงใจของนักลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นผลตอบแทนในรูปของเงินบาทยังให้ผลตอบแทนถึง 20% ซึ่งถือว่าสูงกว่าทองคำในตลาดโลก ดังนั้นนักลงทุนจึงควรหันมาถือทองคำอย่างน้อย 5 – 10% ไว้ในพอร์ตการลงทุนเพื่อเป็นการบริหารความเสี่ยง
ในปี 2554 ทองคำขึ้นไประดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1,920 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ขณะที่ปีนี้ก็มีลุ้นที่ราคาจะไปถึงระดับดังกล่าวเช่นกัน นอกจากนี้ ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่มีความพิเศษเพราะเปิดต้นปีมาก็มีปัญหาเรื่องอิหร่าน-สหรัฐ ราคาทองจึงเริ่มปรับตัวขึ้นมา แม้ระหว่างทางนักลงทุนจะมีการขายทำกำไรสลับออกมาโดยตลอด ขณะที่บางส่วนมีการขายทองคำออกมาเพื่อนำเงินไปรักษาสภาพคล่องในการลงทุนสินทรัพย์อื่นๆ แต่หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ล็อคดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของ COVID-19 ทำให้นักลงทุนกลับเข้าลงทุนในทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น และทำให้ราคาทองคำปรับขึ้นมาจนไปแตะระดับสูงสุดของปีนี้ครั้งใหม่ที่ 1,789 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ซึ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี 8 เดือน
อย่างไรก็ตามยังคงแนะจับตา 5 ปัจจัย ที่มีผลต่อราคาทองคำ ดังนี้ 1. ความเสี่ยงจากการระบาดรอบ 2 ของ COVID-19 ที่จะกดดันเศรษฐกิจถดถอยต่อเนื่อง 2. การผ่อนคลายนโยบายการเงินของธนาคารสหรัฐ(เฟด) ทั้งนโยบายการทำ QE แบบไม่จำกัดวงเงิน และการส่งสัญญาณดำเนินนโยบายดอกเบี้ยระดับต่ำที่ 0-0.25% ไปจนถึงปี 2565 3. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน 4. ปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งชายแดนจีน-อินเดีย สหรัฐ-อิหร่าน คาบสมุทรเกาหลี รวมถึงประเด็นการเลือกตั้งสหรัฐ และ 5. กองทุนทองคำขนาดใหญ่ SPDR -ธนาคารกลางต่างๆ ถือครองทองคำเพิ่มขึ้น โดยทั้ง 5 ปัจจัยนี้ถือว่าเป็นปัจจัยที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวขึ้นได้ อย่างไรก็ดี ในส่วนของปัจจัยเรื่อง COVID – 19 หากสามารถควบคุมการระบาดได้อาจจะส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงเช่นกัน แต่ตราบใดที่ปัจจุบันนักลงทุนยังไม่มีความเชื่อมั่นต่อสถานการณ์การระบาดของไวรัส ก็จะยังคงมองหาการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำต่อไป
ทั้งนี้นักลงทุนสามารถปรึกษาด้านการลงทุนทองคำกับ YLG ได้ทางโทรศัพท์ 02-687-9888 รวมถึงสามารถติดตามบทวิเคราะห์ อัพเดทข่าวสารที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ข่าวโปรโมชั่น สัมมนา และข่าวประชาสัมพันธ์ของ YLG ผ่านทางหลากหลายช่องทาง อาทิ www.ylgprecious.co.th และ https://www.facebook.com/YLGGroup
www.mitihoon.com