ทางหลักทรัพย์กรุงศรีได้มีการคาดการณ์ผลประกอบการของหุ้น BCPG โดยคาดว่าผลการดำเนินงานที่อ่อนแอใน 2Q จะโดนกดดันจากค่า irradiation ที่ต่ำในโซลาห์ฟาร์มในประเทศไทย, ภัยแล้งในประเทศลาว, และความต้องการที่อ่อนแอลงจากโซลาฟาร์มในญี่ปุ่น โดย Capacity factor (CF) สำหรับโซลาห์ฟาร์มในประเทศไทยลดลงสู่ระดับ 16%, เทียบกับ 17.1% ใน 1Q เนื่องจากการลดลงของความเข้มของแสงอาทิตย์ การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำที่ น้ำสาน 3A (100%, 69MW) และ 3B (100%, 45MW) ในประเทศลาวจะยังคงขาดทุนพร้อมค่า 30% CF เทียบกับ 18.2% ใน 1Q เนื่องจากภัยแล้ง โซลาห์ฟาร์มในญี่ปุ่นจะได้รับผลกระทบจากปริมาณขายไฟฟ้าที่ลดลงจากผลกระทบของ Covid-19 ส่วนการดำเนินงานที่โรงไฟฟ้าพลังงานลม Lamligor จะคงที่ yoy เนื่องจาก low season ในภาคใต้ เราคาดว่ากำไรจากกิจการร่วมค้าจากโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในอินโดนิเซียและโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์จะเพิ่มขึ้นสู่ 115ล้านบาท จาก 91ล้านบาท ในไตรมาส 1 โดยมีปัจจัยหนุนจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งที่โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพโดยมีค่า CF ที่ 97%, คงที่ qoq อย่างไรก็ตามโรงไฟฟ้าพลังงานลมในฟิลิปปินส์จะอ่อนแอลงเนื่องจาก low season ด้วยค่า CF 20% เทียบกับ 46% ใน 1Q ดังนั้นเราคาดว่ากำไรปกติที่ 403ล้านบาท ใน 2Q คงที่ qoq และกำไรสุทธิที่ 340ล้านบาท, -41% qoq และ -27% yoy, เนื่องจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 65ล้านบาท
เรามีมุมมองที่ดีต่อการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลัง โดยโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจะฟื้นตัวจากการที่ประเทศลาวนั้นมีฝนตกหนักตั้งแต่มิถุนายน โดยค่า CF สำหรับ Nam San 3A และ 3B เพิ่มขึ้นสู่ 75% ในกรกฎาคม ซึ่งสูงกว่าจุดคุ้มทุนที่ 40% และจะถึง 80% ในสิงหาคม เราคาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำจะพลิกกลับไปเป็นกำไร 180 ล้านบาท หรือสูงกว่านั้นจากคาดการณ์ขาดทุนที่ 30ล้านบาท ทั้งในไตรมาส 1 และ 2 ซึ่งจะช่วยชดเชยค่า irradiation ที่ลดลงในโซลาห์ฟาร์มในประเทศไทยเนื่องจากอยู่ในช่วงฤดูฝน โดยเราคาดว่าโซลาห์ฟาร์มในญี่ปุ่นจะมีการดำเนินงานที่ดีขึ้นจาก high season (ในไตรมาส 2 และ3), ซึ่งจะคงค่า CF ที่ 12% คงที่ qoq แต่เพิ่มขึ้นจาก 9% ในไตรมาส 1 โดย YTD ภาครัฐบาลท้องถิ่นญี่ปุ่นได้สิทธิลดหรืองดการซื้อไฟฟ้า 26วันจากทั้งหมด 30วันจากโรงไฟฟ้าโซลาห์ในญี่ปุ่น ซึ่งจะหมายถึงเราน่าจะเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 และ 4
แม้ว่ากำไร BCPG จะอ่อนตัวลง qoq แต่ทางหลักทรัพย์กรุงศรีมองว่ากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นกลับมาในไตรมาส 3 และ 4 โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในลาว โดยการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลม Swan นั้นยังอยู่ในแผนที่จะเริ่ม COD ได้ใน 2023 จะช่วยเติมช่องว่างกำไรในช่วงที่ adder Bt8/kwh สำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานโซลาห์สามแห่งในไทยหมดในปี 2022-25 เราคาดว่าราคาหุ้นจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่ากลุ่มจากความเสี่ยงในระยะกลางที่หมดไปแล้ว โดยเราคงคำแนะนะซื้อ ราคาเป้าหมาย 19.8 บาท เทียบเท่า 16.9x FY20F PE และ 2.4 PBV (14% ROE)
Disclaimer: เอกสาร/รายงานฉบับนี้จัดทำขึ้นบนพื้นฐานข้อมูลที่เปิดเผยต่อสาธารณชน ซึ่งพิจารณาแล้วว่ามีความน่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตาม บมจ.หลักทรัพย์กรุงศรี มิอาจรับรองความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลดังกล่าวได้ บทความดังกล่าวเป็นเพียงแนวคิดของผู้จัดทำเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการลงทุน บริษัทฯขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงความเห็นหรือประมาณการต่างๆที่ปรากฏในเอกสาร/รายงานฉบับนี้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้าดังนั้นนักลงทุนโปรดใช้ดุลพินิจอย่างรอบคอบในการพิจารณาการลงทุน
www.mitihoon.com