นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 อาจเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280-1,450 จุด เนื่องจากปัจจุบันหุ้นไทยซื้อขายเฉลี่ยบนค่า P/E 22 เท่าของประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2563 และบนค่า P/E เฉลี่ย 16.7 เท่าของประมาณการกำไรต่อหุ้นปี 2564 เมื่อเทียบค่าเฉลี่ย P/E ในช่วง 10 ปีก่อนที่อยู่ประมาณ 16 เท่า ฉะนั้นการเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น หรือ December Rally ในช่วงปลายปีนี้อาจไม่เกิดขึ้น
ปัจจัยหลักที่กดดันตลาดหุ้น คือ 1.การชะลอตัวทางเศรษฐกิจคาดว่าจะยาวนานกว่านักลงทุนคาดไว้ 2.ภาคการท่องเที่ยวที่ยังไม่ฟื้นตัว และ 3.กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลงแรงกว่าที่คาด ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้รับผลกระทบมาจากการล็อกดาวน์ประเทศ หลังพบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา โดยจะส่งผลกระทบหนักสุดในช่วงไตรมาส 2 ปี 63 เราคาดว่า กำไรบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 อาจลดลงเฉลี่ย 40% ซึ่งอาจเป็น “จุดต่ำสุด” เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง 25% และจะค่อย ๆ เห็นการฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2563 ก่อนจะกลับมาเป็นปกติในปลายปี 2564 ซึ่งอาจใช้เวลาประมาณ 18 เดือน
ส่วนปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดช่วงนี้ คือ 1.สภาพคล่องในระบบที่สูงมาก 2.สถานะสถาบันการเงินที่แข็งแกร่ง 3.อัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับต่ำ 0.50% ต่อปี และ 4. อัตราผลตอบแทนเงินปันผลของตลาดปีนี้ที่อยู่เฉลี่ย 2-2.2% ถือว่าสูงกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยครบอายุ 3 ปีที่ 0.52% แต่ใกล้เคียงอัตราผลตอบแทนหุ้นกู้บริษัทเอกชนเรทติ้ง A+ ที่อยู่ราว 2.4% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะเข้ามาช่วยสนับสนุนให้เม็ดเงินลงทุนยังไม่ไหลออกไปจากตลาดหุ้น อย่างไรก็ดีปัจจัยที่ต้องติดตามในช่วงนี้ คือ 1.การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบสอง หลังในช่วงกลางเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ทหารอียิปต์ และเด็กหญิงอายุ 9 ปี ครอบครัวอุปทูตซูดานติดเชื้อเข้ามาในประเทศไทย 2.การควบคุม ผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯ และยุโรป 3.การเร่งค้นคว้าผลิตวัคซีนต้านโควิด-19
“ผลตอบแทนตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP (ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์) นับตั้งแต่ต้นปี 2563 จนถึงปัจจุบัน -14.8%, -19.2% และ -22.92% ตามลำดับ โดยดัชนีหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่ำสุดในช่วงเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งติดลบมากสุดถึง 40% ส่วนตลาดหุ้นไต้หวันบวก 1.95% ตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นเกาหลีที่ -0.2% ตามลำดับ หลังได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของสหรัฐฯ และตลาดหุ้นทั้ง 2 แห่งมีหุ้นเกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์ และไอทีค่อนข้างมาก” นายชัยพร กล่าว
กำไรบจ.ปรับตัวแบบU-shaped
นายชัยพร กล่าวต่อว่า แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอาจมีลักษณะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในรูป U-Shaped เนื่องจากประเทศไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวที่มีสัดส่วนต่อจีดีพีค่อนข้างสูง ดังนั้นกำไรบริษัทจดทะเบียนก็จะฟื้นตัวในรูป U-shaped เช่นกัน ขณะที่การฟื้นของตลาดหุ้นไทยอยู่ในรูปแบบตัว V-shaped ฉะนั้นในช่วงครึ่งหลังปี 2563 แนะนำลงทุน ด้วยกลยุทธ์ “Sector Rotation” หรือสลับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนเป็นรอบๆ ขึ้นให้ขาย ลงให้ซื้อ เน้นลงทุนหุ้นไทย โดยผสมระหว่าง “หุ้นเติบโต” และ “กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ให้ปันผลสูง”
โดยหุ้นกลุ่มที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตที่ดี คือ กลุ่มส่งออกอาหารประเภท หมู ไก่ ทูน่า, กลุ่มบรรจุหีบห่อ และกลุ่มคอนซูเมอร์ไฟแนนซ์ ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลัง คือ กลุ่มร้านอาหาร, กลุ่มปิโตรเคมี, กลุ่มน้ำมันและโรงกลั่น ส่วนกลุ่มที่คาดว่าจะฟื้นตัวช้า คือ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า, กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และกลุ่มบริการ เช่น โรงพยาบาล และท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งอาจฟื้นตัวในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปจนถึงสิ้นปีนี้หรือต้นปี 2564
แนะจัดพอร์ตลงทุนหลายสินทรัพย์
ในช่วงตลาดหุ้นผันผวน นักลงทุนจำเป็นต้องกระจายความเสี่ยง ด้วยการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ (Asset Allocation) แบ่งเป็น 1.หุ้นกู้และตลาดเงิน สัดส่วน 40% 2.ทองคำ สัดส่วน 12%, 3.กองทุนอสังหาริมทรัพย์, กองทรัสต์เพื่อลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ สัดส่วน 7% และตลาดหุ้นไทย สัดส่วน 10%
ส่วนที่เหลือลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ สัดส่วน 31% โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นเวียดนาม และตลาดหุ้นฮ่องกง เน้นกลุ่มค้าปลีกออนไลน์ (e-commerce), กลุ่มซอฟต์แวร์บริการ (Software-as-a-Service) และกลุ่มการแพทย์ (Healthcare) เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการแพร่ระบาดโควิด-19, การเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และการทำงานจัดการขององค์กรทั่วโลกผ่านระบบออนไลน์ที่ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว