มิติหุ้น-บมจ. พริมา มารีนหรือ PRM สร้างผลการดำเนินงานเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังผลประกอบการไตรมาส 2/63 ทำกำไรสุทธิพุ่งถึง 491.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา รับธุรกิจกลุ่มเรือขนส่งและกักเก็บปิโตรเลียมกลางทะเล (FSU) เก็บเกี่ยวได้รายเต็มเม็ดเต็มหน่วย และมีอัตราการใช้บริการเต็ม 100% ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปภายในประเทศมีการบริหารจัดการที่ดี สามารถรักษาอัตราการใช้เรือได้กว่า 90% สวนกระแสวิกฤต COVID-19 ส่งผลดีต่อภาพรวมครึ่งปีแรก ทำกำไรสุทธิสูงถึง 786.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.6% ด้านผู้บริหารมองครึ่งปีหลังธุรกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง จากแผนการเสริมพอร์ตกองเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศและกลุ่มธุรกิจ FSU รวมอย่างน้อย 2 ลำ ดันภาพรวมทั้งปีเติบโต 10-15%
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) (“PRM”) ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2563 (เมษายน-มิถุนายน 2563) ว่าบริษัทฯ มีอัตราการเติบโตทั้งในแง่ของรายได้และการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยทำรายได้รวม 1,494.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 491.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.7% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยมาจากลุ่มธุรกิจเรือขนส่งและกักเก็บปิโตรเลียมกลางทะเล หรือ FSU ทั้ง 8 ลำ ที่มีการปรับราคาให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดและความต้องการที่เพิ่มขึ้น และยังคงมีอัตราการใช้บริการเต็ม 100% ทำให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวสามารถทำรายได้และกำไรสุทธิให้แก่ PRM ได้อย่างก้าวกระโดด
ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ ที่ถึงแม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ส่งผลให้ปริมาณการขนส่งปิโตรเลียมภายในประเทศชะลอตัวลง แต่จากการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทฯ สามารถรักษาอัตราการใช้เรือให้อยู่ในระดับที่มากกว่า 90% ทำให้กลุ่มธุรกิจดังกล่าวได้รับผลกระทบไม่มากนัก จึงช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในไตรมาสนี้ได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2563) บริษัทฯ สามารถทำรายได้รวม 3,000.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% และทำกำไรสุทธิได้ถึง 786.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา
“ธุรกิจของเรายังมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แม้ต้องเจอกับวิกฤต COVID-19 แต่เราก็ยังสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดทั้งในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ โดยในไตรมาส 2/2563 ถือเป็นสถิตินิวไฮอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการที่ดี และทำให้เราทำกำไรสุทธิในครึ่งปีแรกเติบโตสวนกระแสปัจจัยลบอีกด้วย” นาย วิริทธิ์พล กล่าว
ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี PRM กล่าวว่า แนวโน้มการดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทฯ จะเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีแผนการขยายกองเรือในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูง อย่างน้อย 2 ลำ ได้แก่ เรือต่อใหม่ในกลุ่มธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ จำนวน 1 ลำ หลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งการรับเรือใหม่ดังกล่าวมีลูกค้ารอใช้บริการเรียบร้อยแล้ว ขณะที่กลุ่มธุรกิจ FSU จะเพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่มีอยู่อีกมาก ทำให้บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลักได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในปีนี้ให้เติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย
ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ที่บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PRM ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในกลุ่มธุรกิจร่วมค้าซีเอ็นเอ็นซี ในสัดส่วนประมาณ 10% โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการงานก่อสร้างงานทางทะเล ซึ่งคาดว่าจะเซ็นสัญญากับการท่าเรือเรือแห่งประเทศไทยในเร็วๆ นี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจและถือเป็นโอกาสที่ดีของ PRM ในการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
www.mitihoon.com