SMPC บุ๊คกำไร H1/63 โต 59% บอร์ดจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.37 บ./หุ้น

52

 

 

มิติหุ้น-SMPC ผลงาน Q2/63 ฟอร์มสวย กวาดยอดขาย 1,093.12 ลบ. เพิ่มขึ้น 20.6% กำไรสุทธิ 182.19 ลบ.โต 49.3% โชว์ผลงาน 6 เดือนแรกปีนี้กำไรพุ่งเกือบ 59% อยู่ที่ 328.51 ล้านบาท จากออเดอร์ลูกค้าในแถบเอเชียใต้ -แอฟริกา ที่ชะลอการสั่งซื้อในช่วงปีก่อน เริ่มกลับมาสั่งซื้อ ขณะที่ยอดขายในสหรัฐฯ ยังไหลเข้าต่อเนื่อง คาดผลงานครึ่งปีหลังยังคงเติบโตต่อเนื่อง ตามความต้องการใช้ถังแก๊สทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียใต้ และทวีปแอฟริกา เชื่อยอดขายปีนี้เติบโต 30% ได้ตามแผน รับดีมานด์ต่างประเทศโตต่อเนื่อง ชี้โควิดไม่กระทบธุรกิจ แย้มหลังโควิด เริ่มพิจารณาลงทุนโรงงานผลิตถังแก๊สในต่างประเทศใหม่  ด้านบอร์ดใจดีเอาใจผู้ถือหุ้น ประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.37 บ./หุ้น

นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ผู้ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่าง ๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่ง พลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC” รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯงวดไตรมาส 2/2563  มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,093.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186.81 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น  20.6% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 906.31 ล้านบาท  เนื่องจากลูกค้าในแถบเอเชียใต้ที่ชะลอการสั่งซื้อในช่วงปีก่อน เริ่มกลับมาสั่งซื้อบางส่วนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมถึงลูกค้าในแอฟริกามีความต้องการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงมีต่อเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

สำหรับกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 2/2563 จำนวน 182.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 49.3 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 122 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายเติบโต และมีอัตราการทำกำไรที่สูงขึ้น ขณะที่ ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ลดลง โดยสุทธิกับรายได้อื่นที่ลดลงและภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น สำหรับกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 288.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.69 ล้านบาท หรือ 36.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้น 211.37 ล้านบาท ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 23.3% เป็น 26.4% เป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงและราคาเหล็กในตลาดโลกลดลง ส่งผลให้อัตราทำกำไรเพิ่มขึ้น

ขณะที่ผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่  2,038.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 352.62 ล้านบาท หรือ 20.92% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 1,685.55 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิอยู่ที่  328.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121.60 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 58.77 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 206.91 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ไว้วางใจเสมอมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯมีอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 0.37 บาทต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สำหรับงวด 6 เดือน สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิ์ได้รับเงินปันผล (Record date) วันที่  24 สิงหาคม  2563  และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 9 กันยายน 2563

สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่ายอดขายจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง จากความต้องการถังแก๊ส LPG ในภูมิภาคเอเชียใต้ ที่มีการปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงหุงต้มมาเป็น LPG รวมถึงประเทศในทวีปแอฟริกา ที่มีการเปลี่ยนมาใช้ LPG แทนฟืนและเชื้อเพลิงแบบดั้งเดิม ซึ่งทั้ง 2 ภูมิภาคนี้ เป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ SMPC

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่กระจายทั่วโลกอยู่ขณะนี้ บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยในเรื่องของการขนส่งสินค้า ซึ่งมีความล่าช้าจากการปิดในบางประเทศเพื่อเฝ้าระวังการแพร่กระจายในวงกว้าง  ทำให้การขนส่งต้องใช้เวลานานขึ้น แต่โดยรวมยังสามารถส่งออเดอร์ลูกค้าได้ตามกำหนดเวลา  โดยบริษัทยังคงเป้าหมายยอดขายถังแก๊สในปี 2563 ไว้ที่ 7.3 ล้านถัง เติบโต 30% เนื่องจากยังคงมีความต้องการใช้ถังแก๊ส LPG อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศแอฟริกา อเมริกาเหนือ รวมถึงในเอเชีย อีกทั้งบริษัทได้เริ่มกระจายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มประเทศละตินอเมริกา

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับ 10-15% ถึงแม้ว่าค่าเงินบาทจะมีทิศทางที่แข็งค่า โดยมีการบริหารและควบคุมการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนประกอบกับพยายามควบคุมต้นทุนด้านกระบวนการผลิต รวมถึง การที่ราคาเหล็กซึ่งเป็นต้นทุนของบริษัทฯ ขณะนี้ยังอยู่ในระดับทรงตัว

ส่วนการลงทุนสร้างโรงงานผลิตถังแก๊สในต่างประเทศ ขนาดกำลังการผลิต 2.5 ล้านถังต่อปี มูลค่าการลงทุน 13-15 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีโอกาสขยายฐานการผลิตและได้รับส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น รวมถึงลดต้นทุนด้านการขนส่งสินค้า และลดค่าใช้จ่ายทางภาษีด้านต่างๆ แต่เนื่องจากเกิดสถานการณ์โควิดแพร่ขยายในวงกว้าง ทำให้บริษัทต้องชะลอโครงการดังกล่าว เพื่อประเมินความเสี่ยงใหม่อีกครั้งหลังจากสถานการณ์คลี่คลาย

www.mitihoon.com