บมจ.พริมา มารีน หรือ PRM ผู้ให้บริการขนส่งและจัดเก็บผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและปิโตรเคมีเหลวทางเรือรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดย “บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง” เปิดเผยว่า แนวโน้มไตรมาส 3/63 คาดกำไรสุทธิจะทำนิวไฮต่อเนื่อง จาก 4 ประเด็น ได้แก่ 1.กลุ่มเรือ Domestic Tanker (DT) ฟื้นตัวจากอุปสงค์น้ำมันในภาคใต้หลังผ่านพ้นการ Lock-down, 2. ธุรกิจ FSU5 ลำที่ขึ้นราคาค่าบริการขึ้นระหว่างไตรมาส 2/63 จะทำงานเต็มไตรมาสครั้งแรก,3. เรือ FSO 2 ลำ ที่ได้ตั้งด้อยค่าไปแล้ว มีโอกาสขายทำกำไรได้ และ 4. PRM อยู่ระหว่างเข้าซื้อเรือ DT 1 ลำ และ FSU 1-2 ลำ ซึ่งจะเป็นการขยายกองเรือให้ใหญ่ขึ้นจาก 42 ลำในปัจจุบัน โดยประเด็นการผ่อนคลาย COVID-19 ระหว่างประเทศ จะทำให้ดีลการซื้อเรือ FSU เดินหน้าได้ เพราะ PRM ต้องไปรับมอบเรือในต่างประเทศ ดังนั้นจึงปรับราคาเหมาะสมปี 2563 เพิ่มขึ้น 17% เป็น 10.90 บาท/ หุ้น (DCF, WACC 12.0%, g 1.0%) แนะนำ “ซื้อ” ขณะที่ “บล.หยวนต้า(ประเทศไทย)” แนะนำ “ซื้อ”เป้าหมายที่ 12.50 บาท
ด้าน “นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์” ผู้อำนวยการสายงานการเงินและบัญชี เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทจะเสริมศักยภาพการดำเนินธุรกิจให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีแผนการขยายกองเรือในกลุ่มธุรกิจที่มีการเติบโตสูงอย่างน้อย 2 ลำ ได้แก่ เรือต่อใหม่ในกลุ่ม “ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ” จำนวน 1 ลำ หลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งการรับเรือใหม่ดังกล่าวมีลูกค้ารอใช้บริการเรียบร้อยแล้ว และกลุ่ม “ธุรกิจให้บริการจัดเก็บน้ำมันกลางทะเล (FSU)” จะเพิ่มอีก 1 ลำ เพื่อรองรับความต้องการใช้บริการที่มีอยู่อีกมาก ทำให้บริษัทสามารถสร้างรายได้จาก 2 กลุ่มธุรกิจหลักได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานในปี 2563 ให้เติบโต 10-15% ตามเป้าหมาย
ส่วนความคืบหน้า “โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3” ที่ บริษัท เอ็น.ที.แอล.มารีน จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ PRM ได้เข้าไปมีส่วนร่วมใน “กลุ่มธุรกิจร่วมค้าซีเอ็นเอ็นซี” ในสัดส่วนประมาณ 10% โดยได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการงานก่อสร้างงานทางทะเล ซึ่งคาดว่าจะเซ็นสัญญากับการท่าเรือเรือแห่งประเทศไทยในเร็วๆ นี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพทางธุรกิจและถือเป็นโอกาสที่ดีของ PRM ในการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปในอนาคต
www.mitihoon.com