มิติหุ้น-กลุ่มสโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ หรือ STI โชว์ศักยภาพ ประกาศงบ Q2/63 รายได้โต 133.5% อยู่ที่ 401.9 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิพุ่ง 85.7% อยู่ที่ 41.6 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญมาจากความสำเร็จในการควบรวม AEC พร้อมบุ๊คผลงานเข้ามาในงบการเงินรวมทันทีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา ควบคู่การทยอยส่งมอบงานในมือได้ตามแผน และเดินหน้าประมูลงานใหม่เพิ่ม ปัจจุบันตุน Backlog ในมือสูงถึง 4.5 พันล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้โต 80% ยืนหนึ่งในฐานะผู้นำธุรกิจวิศกรที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้างครบวงจร
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI ผู้นำกลุ่มธุรกิจที่ปรึกษาบริหารและควบคุมงานก่อสร้างครบวงจร เปิดเผยถึง ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2563 มีการเติบโตอย่างโดดเด่นตามเป้าหมายที่วางไว้ กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการ 401.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 229.8 ล้านบาท หรือ 133.5% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 172.1 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้าง 67.2% และรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่น 32.8% สำหรับ กำไรขั้นต้นอยู่ที่ 132.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76.7 ล้านบาท หรือ 137% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 56 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 41.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.2 ล้านบาท หรือ 85.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 22.4 ล้านบาท
ความสำเร็จที่สวยงามในช่วงต้นปีแรกของกลุ่มสโตนเฮ้นจ์ คือ การเข้าลงทุนใน บริษัท เอเชียน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด (AEC) ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมชั้นนำ 1 ใน 4 ของไทยที่มีงานภาครัฐต่อเนื่อง ในสัดส่วนร้อยละ 63.75 ของหุ้นสามัญในบริษัทดังกล่าว โดยงบการเงินของ AEC ได้ถูกนำมารวมในการจัดทำงบการเงินรวมของกลุ่มบริษัทฯ ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2563 เป็นต้นไป เพิ่มความแข็งแกร่งให้รายได้และกำไรเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับ ธุรกิจของ STI มีการเติบโตแม้ในท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 งานที่ปรึกษาบริหารและคุมงานก่อสร้างของกลุ่มบริษัทเดินหน้าตามแผน บริษัทฯ ทยอยรับรู้รายได้ตามความสำเร็จของงาน และปริมาณงานในมือที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ในไตรมาส 2/2563 กลุ่ม STI มีรายได้จากการให้บริการเติบโตกว่า 133.5% แบ่งเป็น รายได้จากธุรกิจบริหารและควบคุมงานก่อสร้างมีจำนวน 270.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 120.2 ล้านบาท เป็นส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการรวบงบของ AEC เข้ามาระหว่างเดือนพฤษภาคม ถึง มิถุนายน 2563 ซึ่งมีจำนวน 95.1 ล้านบาท ขณะที่ปริมาณงานของบริษัทในกลุ่ม STI เดิม ยังมีการเติบโตที่ดี และส่งมอบงานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เช่น โครงการ One Bangkok โครงการปรับปรุงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โครงการพัฒนาพื้นที่ส่วนขยายศูนย์ราชการ โซน C โครงการอาคารชุดพักอาศัยหลายโครงการ โครงการอาคารสำนักงาน และโครงการประเภทอาคารอเนกประสงค์ เป็นต้น รวมทั้ง มีรายได้จากธุรกิจออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมและธุรกิจอื่นมีจำนวน 131.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 109.6 ล้านบาท เนื่องจากการรวมรายได้จากการให้บริการของ AEC จำนวน 108.3 ล้านบาท
“การเติบโตของรายได้และกำไรอย่างมีนัยสำคัญในครั้งนี้ เป็นไปตามกลยุทธ์ที่บริษัทฯ วางไว้ ในแผนการลงทุน AEC เพื่อต่อยอดธุรกิจ สนับสนุนให้กลุ่ม STI เป็นผู้นำในตลาดที่มีศักยภาพในการขยายงานที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและการคุมงานก่อสร้างจากภาครัฐบาลและเอกชน มีพอร์ตในมือที่หลากหลาย กระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดีและเดินหน้าสร้างโอกาสธุรกิจสู้โควิด-19 ต่อเนื่อง มองเทรนด์ครึ่งปีหลังยังคงเติบโต จากการบริหารงานในธุรกิจหลักได้ตามแผน และการประหยัดต่อขนาดจากการบริหารจัดการต้นทุนร่วมกันระหว่าง STI และ AEC อีกทั้งการลงทุนของภาครัฐบาลในงานโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และงานเอกชนในโปรเจ็กต์ขนาดใหญ่เพิ่มเติมอีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ เป็นโอกาสให้กลุ่ม STI รับงานเพิ่มขึ้นเช่นกัน” นายสมเกียรติ กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรก ปี 2563 มีรายได้จากการให้บริการ 634.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 308.5 ล้านบาท หรือ 94.6 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 325.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ที่ 68.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.3 ล้านบาท หรือ 69.7 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 40.6 ล้านบาท
ปัจจุบัน กลุ่ม STI มีงานในมือ (Backlog) กว่า 4,500 ล้านบาท คาดจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 4-5 ปีจากนี้ และเข้าร่วมประมูลงานโครงการใหม่ๆ เพิ่มเติม ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาประมาณ 6-7 โครงการ ในส่วนงานของเอกชน อาทิ โครงการอาคารสำนักงาน และ โครงการมิกซ์ยูส รวมถึง งานโครงสร้างพื้นฐานที่ AEC มีความเชี่ยวชาญ ส่งผลให้ในปลายปีนี้อาจสนับสนุน Backlog ขึ้นไปแตะระดับ 5,000 ล้านบาทได้ บริษัทฯ จึงปรับเป้าหมายรายได้ปี 2563 คาดว่าจะเติบโต 80% จากปีก่อน เพื่อให้สอดคล้องกับพื้นฐานธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีฐานะทางการเงินในปัจจุบันที่แข็งแกร่ง
www.mitihoon.com