ผลสำรวจจาก FICO เผย 91% ของธนาคารไทยเชื่อ AI จะช่วยหยุดการฟอกเงินได้มากขึ้น

124

มิติหุ้น-ธนาคารร้อยละ 82 กำลังประสบกับความยากลำบากอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงระบบการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (AML) แบบ Rules-based ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

ข้อมูลสำคัญ:

 

  • ร้อยละ 91 ของธนาคารไทยเชื่อว่า AI จะหยุดการฟอกเงินได้มากขึ้น
  • ร้อยละ 95 ของธนาคารไทยยังคงเชื่อมั่นในการใช้ระบบ Rules-based แบบเก่าเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย AML ขณะที่ธนาคารร้อยละ 82 ระบุว่าประสบกับความยากลำบากอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงระบบเหล่านี้
  • ธนาคารร้อยละ 100 ในประเทศไทย ระบุว่า จะลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรมทางเงินในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า และร้อยละ 41 มีแผนจะเพิ่มการลงทุนด้านนี้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2564

 

ข้อมูลเพิ่มเติม: คลิกลิงก์เพื่ออ่านรายงานบนเว็บไซต์ FICO.COM

 

ผลการสำรวจล่าสุดโดย FICO บริษัทซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลระดับโลก พบว่า แม้ธนาคารไทยร้อยละ 91 เชื่อว่า AI จะช่วยสนับสนุนการดำเนินการในการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ธนาคารหลายแห่งยังคงไม่แน่ใจเกี่ยวกับวิธีการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง

 

ในทางกลับกัน เมื่อถามถึงประสิทธิภาพของเทคโนโลยี Rules-based แบบเก่าที่ใช้กันมานาน ธนาคารไทยร้อยละ 95 ระบุว่ายังคงเชื่อมั่นในความสามารถของระบบ AML เหล่านี้ แม้ธนาคารร้อยละ 82 ระบุว่าประสบกับความยากลำบากอย่างมากในการเปลี่ยนแปลงระบบดังกล่าว

 

“ระบบ Rules-based ยังคงเป็นเครื่องมือสำคัญที่ธนาคารในเอเชียแปซิฟิกใช้เพื่อต่อสู้กับอาชญากรรมทางการเงิน” Timothy Choon ผู้อำนวยการฝ่ายอาชญากรรมทางการเงินประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ FICO กล่าว “อย่างไรก็ดี ปัจจุบันเริ่มมีธนาคารบางแห่งเปิดรับเทคโนโลยีใหม่อย่าง AI แล้ว และตระหนักได้ว่าระบบแบบ Rules-based ที่ใช้มานานนับทศวรรษนั้น ไม่สามารถตามทันกลโกงรูปแบบใหม่ที่มีความซับซ้อนได้

 

“สูตรลับความสำเร็จก็คือการใช้เทคโนโลยี AI โดยให้เทคโนโลยีขั้นสูงนี้ทำงานควบคู่กับระบบแบบ Rules-based แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 20 เลือกข้อนี้เป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการบรรเทาความเสี่ยงจากอาชญากรรมทางการเงิน”

 

ผลสำรวจระดับภูมิภาคแสดงให้เห็นว่า ความท้าทายที่สำคัญสำหรับการใช้โซลูชัน AML แบบเดิมนั้น ได้แก่ ความสามารถในการจัดการกับความเสี่ยงประเภทใหม่ ๆ ในช่องทางและผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ, ความสามารถในการจัดหาโซลูชั่นการปฏิบัติตามกฎแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นจนจบ และความสะดวกรวดเร็วในเปลี่ยนแปลงตามกฎระเบียบใหม่ ๆ

 

ผลสำรวจยังเผยด้วยว่า ธนาคารข้ามชาติขนาดใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีแนวโน้มมากกว่าที่จะใช้โซลูชั่น AML ของบริษัทชั้นนำของโลกเวนเดอร์ ขณะที่ธนาคารในประเทศเลือกที่จะใช้ระบบภายใน (in-house) กันมากกว่า

 

ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนแผนงานด้านอาชญากรรมทางการเงิน

 

หนึ่งในดัชนีชี้นำที่ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกลยุทธ์การจัดการอาชญากรรมทางการเงิน คือ ประสบการณ์ของลูกค้า ผู้ตอบแบบสำรวจกว่าสองในห้าจัดอันดับให้เรื่องนี้เป็นปัจจัยที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับต้น ๆ โดยร้อยละ 17 ของธนาคารในเอเชียแปซิฟิก ยกให้เรื่องนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่อยู่เบื้องหลังแนวทางการดำเนินกลยุทธ์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต

 

“เรามองเห็นว่า การปฏิบัติตามกฎระเบียบและการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ยังคงเป็นสิ่งที่สถาบันการเงินส่วนใหญ่ต้องทำควบคู่กันไป” Choon กล่าว “ธนาคารจำเป็นต้องมีข้อมูลมากขึ้นเพื่อจัดการกับการเตือนภัยจำนวนมากที่มาจากระบบที่ไร้ประสิทธิภาพ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่รบกวนลูกค้าด้วยการถามคำถามเพื่อสอบทานธุรกิจอย่างไม่หยุดหย่อน”

 

ปัจจัยพิจารณาเพิ่มเติมที่อยู่ในอันดับสองและสามจากการจัดอันดับของธนาคาร ได้แก่ ความเสียหายต่อชื่อเสียง และความสูญเสียทางการเงินโดยตรง โดยเมื่อกล่าวถึงความท้าทายด้านอาชญากรรมทางการเงินนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจเกือบครึ่งระบุถึงความรวดเร็วในการจัดการกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ขณะที่หนึ่งในสามเชื่อว่า การตรวจจับภัยคุกคามได้อย่างถูกต้องแม่นยำยังคงเป็นบททดสอบที่สำคัญ

 

โซลูชั่นการปฏิบัติตามกฎแบบครบวงจรของ FICO (FICO’s comprehensive compliance solution) เกิดจากการรวมเทคนิคขั้นสูงด้านการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ด้วยการปรับปรุงความแม่นยำในการตรวจสอบให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ผ่านโมเดลการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงที่จดสิทธิบัตรแล้ว อาทิ Soft Clustering Misalignment และ Threat Score ซึ่งช่วยให้สถาบันการเงินต่าง ๆ สามารถใช้ AI ภายในแผนกลยุทธ์การปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่แล้วได้

 

การลงทุนในเทคโนโลยีการปฏิบัติตามกฎ

 

ธนาคารส่วนใหญ่ (93%) ทั่วเอเชียแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายงบประมาณด้านเทคโนโลยีไปกับการอัปเกรดหรือไม่ก็ปรับปรุงระบบการปฏิบัติตามกฎที่ใช้อยู่เดิม อย่างไรก็ดี ในสิงคโปร์ และ ฮ่องกง ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญของภูมิภาค พบว่า มีผู้ตอบแบบสำรวจเพียงสองในสามที่ระบุว่า ธนาคารของพวกเขาอาจจะเริ่มการลงทุนใหม่ในเทคโนโลยีการปฏิบัติตามกฎ เมื่อพิจารณาจากการใช้จ่ายในด้านนี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

สำหรับในประเทศไทย ร้อยละ 100 ของธนาคารระบุว่าจะลงทุนในเทคโนโลยีการปฏิบัติตามกฎต่อไปในช่วงหนึ่งปีข้างหน้า และร้อยละ 41 มีแผนจะเพิ่มการลงทุนด้านนี้อย่างมีนัยสำคัญในปี 2564

 

ทั้งนี้ คาดว่าระดับการลงทุนโดยรวมในด้านเทคโนโลยีปฏิบัติตามกฎของธนาคารในเอเชียแปซิฟิกจะเพิ่มขึ้นในปี 2564 โดยผู้ตอบแบบสำรวจร้อยละ 49 ระบุว่าจะเพิ่มงบประมาณ ขณะที่อีกร้อยละ 34 คาดว่าจะเพิ่มงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ และที่น่าสนใจคือ ธนาคารต่างชาติมีแนวโน้มมากกว่าที่จะเริ่มการลงทุนใหม่ เมื่อเทียบกับธนาคารในประเทศ โดยอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย ไทย และฟิลิปปินส์เป็นตลาดที่คาดว่าจะมีการลงทุนมากที่สุดในปี 2564

 

“ผลสำรวจฉบับนี้ซึ่งจัดทำในเดือนพ.ค. แสดงให้เห็นว่า แม้เศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากโรคระบาด แต่ธนาคารก็ยังคงมีความตั้งใจที่จะลงทุนแบบเล็งเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย AML” Choon กล่าว “มีความตั้งใจมากขึ้นที่จะรับรู้ว่า การปฏิบัติตามกฎและการฉ้อโกงเป็นความเสี่ยงด้านอาชญากรรมทางการเงินที่พบได้ทั่วไป เพราะมีแนวโน้มมากขึ้นที่คนโกงจะทำการฟอกเงิน

 

“การมาบรรจบกันนี้ถือเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก เพราะธนาคารในสหรัฐอเมริกาและในสหราชอาณาจักรก็อยู่ระหว่างการผนวกรวมส่วนงานด้านการปฏิบัติตามกฎกับส่วนงานด้านการป้องกันการฉ้อโกงเข้าด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการรวมทีมงาน ผู้บริหาร และเทคโนโลยี เราจึงเชื่อว่า ธนาคารในเอเชียแปซิฟิกกำลังจะมองมาที่ตลาดเหล่านี้เพื่อดูว่าความพยายามดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่ พร้อมทั้งมีแผนที่จะทำตามอย่างรวดเร็วในอีก 24-36 เดือนข้างหน้า”

 

Integrated AML Compliance Survey ของ FICO จัดทำขึ้นในเดือนพฤษภาคม 2563 โดยใช้แบบสอบถามเชิงปริมาณทางออนไลน์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารอาวุโส 256 คนจากธนาคารใน 11 ประเทศ ซึ่งบริษัทวิจัยอิสระแห่งหนึ่งดำเนินการสำรวจในนามของ FICO ครอบคลุมออสเตรเลีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม

 

เกี่ยวกับ FICO

 

FICO (NYSE: FICO) ขับเคลื่อนการตัดสินใจต่าง ๆ ที่ช่วยให้ผู้คนและธุรกิจทั่วโลกเจริญก้าวหน้า บริษัทก่อตั้งขึ้นในปี 2499 และมีสำนักงานใหญ่อยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ บริษัทเป็นผู้บุกเบิกการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงทำนายและวิทยาศาสตร์ข้อมูลเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจด้านการดำเนินงานให้ดีขึ้น ปัจจุบัน FICO มีสิทธิบัตรในสหรัฐและต่างประเทศจำนวนกว่า 195 ฉบับ ซึ่งเกี่ยวกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เพิ่มความสามารถในการทำกำไร ความพึงพอใจของลูกค้า และการเติบโตของธุรกิจในด้านบริการทางการเงิน การผลิต โทรคมนาคม การดูแลสุขภาพ ค้าปลีก และอุตสาหกรรมอื่นๆ อีกมากมาย โซลูชั่นของ FICO ช่วยให้ธุรกิจในกว่า 100 ประเทศทำได้ทุกอย่าง ตั้งแต่ป้องกันการฉ้อโกงบัตรเครดิต/บัตรเดบิต 2.6 ล้านใบ ช่วยให้ผู้คนได้รับสินเชื่อ ไปจนถึงรับประกันว่าเครื่องบินและรถเช่าหลายล้านคันนั้นอยู่อย่างถูกที่ ถูกเวลา

ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.fico.com