มิติหุ้น-บทวิเคราะห์ บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) คงเป้าเพิ่มกำลังการผลิตอีก 700MWe ต่อปีในช่วงปี 2563-64 จากการทำดีล M&A ในต่างประเทศผู้บริหารยังคงเป้าหมายจะเพิ่มกำลังการผลิต 700 equity MW จากปัจจุบันที่ 8.0GWe (รวม 1.6GWe จากโครงการที่อยู่ในแผน) โดยในปีนี้ RATCH ได้เข้าไปซื้อโรงไฟฟ้า SPPs ในประเทศโครงการใหม่ (61MWe), โรงไฟฟ้าถ่านหินในเวียดนาม (137MWe) โครงการพลังงานลม Thanh Phong Wind farm (15MWe) ในขณะที่กำลังกการผลิตใหม่ส่วนที่เหลือจะมาจากการเข้าซื้อกิจการในต่างประเทศ
โครงการหงสากลับมาเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2563
โรงไฟฟ้าหงสา unit3 ทำ overhaul รอบใหญ่ระหว่างเดือนเมษายน-สิงหาคม 2563 และกลับมาผลิตไฟฟ้าเต็มที่อีกครั้งตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม 2563 เราคาดว่า Equivalent Availability Factor (EAF) จะขยับขึ้นไปสูงกว่า 80% ในขณะที่บริษัทไม่ต้องจ่ายค่าปรับจากอุบัติเหตุ (ฟ้าผ่า) เนื่องจากมีการประกาศ “Force Majeure” แต่อย่างไรก็ตาม จะมีการบันทึกต้นทุนค่าซ่อมบำรุงใน 3Q63 ในขณะที่จะรับรู้ค่าสินไหมจากบริษัทประกันใน 4Q63 ทั้งนี้ เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 3Q63 จะดีขึ้น QoQ เนื่องจาก i) โครงการหงสากลับมาผลิตไฟฟ้าอีกครั้ง ii) อัตราการจ่ายไฟของโครงการ NN2 สูงขึ้น และ iii) มีรายได้ equity income จาก An Binh Energy and Infrastructure Fund (ABEIF ถือหุ้น 45% ในโรงไฟฟ้าถ่านหิน Thang Long)
ปรับประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2563-64 เนื่องจากโครงการหงสา และ ABEIF
เราปรับลดประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักในปี 2563 ลง 6.9% จากการปรับลดสมมติฐาน EAF ของโครงการหงสาจาก 85% เหลือ 81% เนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุง unit 3 นานเกินคาด ในขณะเดียวกัน เรายังคงประมาณการกำไรจากธุรกิจหลักปี 2564 เอาไว้เท่าเดิม เพราะการปรับลดสมมติฐาน EAF ของโครงการหงสาชดเชยไปกับรายได้ equity income จาก ABEIF
Valuation & Action
เรายังคงคำแนะนำซื้อ และขยับไปใช้ราคาเป้าหมาย DCF ปี 2564 ที่ 74.00 บาท สำหรับในระยะสั้น เราคาดว่า RATCH จะร่วมกับ consortium ที่มี BTS Group Holdings (BTS.TB/BTS BK)* เป็นแกนนำเข้าประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตก ในขณะเดียวกัน เราก็มองว่าระดับหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.46x เมื่อเทียบกับนโยบายของบริษัทที่จะคุมไว้ไม่ให้เกิน 1.0x และ covenant ที่ 1.3x ก็เปิดช่องให้บริษัทสามารถซื้อกิจการอื่นเพิ่มได้อีกในอนาคต
www.mitihoon.com