ธอส.ยกระดับบริการดิจิทัล เปิดตัวโครงการ G H Bank New Normal Services เพิ่ม 6 บริการใหม่บน Application : GHB ALL พร้อมประกาศขยายระยะเวลาช่วยลูกค้าที่กระทบโควิด-19 ถึง 31 ม.ค. 64

56

มิติหุ้น – นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 67 ปีของการดำเนินงานในวันที่ 24 กันยายน 2563 ธอส. สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ที่สร้างโอกาสให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองมาแล้วมากกว่า 3.7 ล้านครอบครัว จึงได้ประกาศยกระดับการให้บริการดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้าประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการต่าง ๆ ของธนาคารในรูปแบบที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย และรวดเร็ว สอดคล้องกับวิถีชีวิตปกติใหม่ของสังคมไทยในปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คณะกรรมการธนาคารที่นำโดย นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการธนาคาร จึงได้มีนโยบายให้ ธอส. จัดทำโครงการ “G H Bank New Normal Services” (Phase 1) ด้วยการพัฒนาฟังก์ชั่นบริการเพิ่มเติมทั้งทางด้านการเงินและสินเชื่อเพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมของ ธอส. ได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลด้วย Mobile Application : GHB ALL ที่ลูกค้าของธนาคารหันมาใช้บริการผ่านช่องทางนี้มากขึ้นเห็นได้จาก ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2563 ธนาคารมีจำนวนลูกค้าที่สมัครใช้บริการ Application : GHB ALL และยังใช้งานอยู่จำนวน 710,318 บัญชี เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่มีจำนวนลูกค้าใช้งาน 242,180 บัญชี และปัจจุบันลูกค้ามีการทำธุรกรรมการโอนเงินและชำระหนี้เงินกู้ผ่าน GHB ALL จำนวน 590,769 รายการ เพิ่มขึ้นจาก ณ สิ้นปี 2562 ที่มีการทำธุรกรรมจำนวน 375,981 รายการ หรือเพิ่มขึ้นถึง 57.13%  สำหรับฟังก์ชั่นบริการเพิ่มเติมใน Phase 1 ที่เริ่มให้บริการได้แล้วประกอบด้วย

1.ซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ให้บริการได้ทั้งการซื้อสลากครั้งแรกหรือลูกค้าเดิมที่ต้องการซื้อเพิ่มเติม โดยหลังจากเริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม 2563 มีลูกค้าซื้อสลากออมทรัพย์ ธอส. ชุดพิมานมาศ หน่วยละ 50,000 บาท ผ่าน GHB ALL จำนวนกว่า 5,500 หน่วย ล่าสุด ธอส. ได้จัดทำโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อสลากผ่าน Application : GHB ALL ในวันที่ 24 กันยายน 2563 รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.1% ต่อปี (จากปกติอัตราดอกเบี้ย 0.90% ต่อปี) ภายใต้กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท และการเปิดรับซื้อสลาก ธอส. ชุดต่อไปจะเปิดให้ลูกค้าซื้อผ่าน GHB ALL ต่อไป

2.ขอ Statement บัญชีเงินฝาก สำหรับลูกค้าที่ต้องการนำข้อมูลบัญชีประเภทออมทรัพย์ไปใช้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาในการอนุมัติธุรกรรมต่าง ๆ ตามที่ต้องการ โดยภายหลังจากกรอกข้อมูลครบถ้วนตามที่ธนาคารกำหนดแล้ว ระบบจะส่ง Statement บัญชีเงินฝากตามที่ระบุไปที่ E-mail ของลูกค้า 3.จองคิว       ใช้บริการล่วงหน้า เพื่อเลือกสาขาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ต้องการใช้บริการ ซึ่งระบบจะแสดงรายชื่อสาขาที่เรียงลำดับจากระยะทางที่ใกล้กับจุดที่ลูกค้าอยู่มากที่สุด โดยสามารถเลือกบริการประเภทที่ต้องการพร้อมระบุวันและเวลาที่ต้องการนัดหมาย และหลังจากกดยืนยันแล้วจะสามารถไปรอรับบริการที่สาขาในวันเวลาที่นัดหมายได้ทันที

4.ใบเสร็จชำระเงินกู้รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ แทนรูปแบบเดิมที่เป็นกระดาษและจัดส่งทางไปรษณีย์ สำหรับลูกค้าที่ชำระเงินงวดผ่านการหักบัญชีอัตโนมัติ หรือผ่านช่องทางตัวแทน และลูกค้าสวัสดิการที่ชำระโดยหน่วยงานต้นสังกัด ซึ่งจะมีข้อมูลสำคัญเช่นเดียวกับใบเสร็จแบบกระดาษ อาทิ ยอดที่ชำระเงินต้น ดอกเบี้ย และเงินต้นคงเหลือ 5.ชำระเงินดาวน์ทรัพย์ NPA เพียงเลือกบัญชีที่ต้องการชำระพร้อมด้วยรหัสทรัพย์ NPA เมื่อตรวจสอบความถูกต้องเรียบร้อยและกดยืนยันแล้ว ระบบจะส่งใบเสร็จให้ผู้ชำระทันที และ 6.แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล          เพื่อเปลี่ยนแปลงที่อยู่จัดส่งเอกสาร/การติดต่อกับธนาคารโดยไม่ต้องเดินทางไปแจ้งที่สาขา เพื่อไม่ให้พลาดการติดต่อหรือรับข้อมูลสำคัญจากธนาคาร โดยลูกค้ายังสามารถเลือกเปลี่ยนแปลงเบอร์โทรศัพท์ E-Mail และ Line ID ซึ่งเป็นช่องทางการติดต่อที่สะดวกรวดเร็วในปัจจุบันได้อีกด้วย

“การพัฒนาโครงการ G H Bank New Normal Services สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของ ธอส. ที่จะพัฒนาบริการดิจิทัลใหม่ ๆ สำหรับลูกค้าที่เข้ากับกับไลฟ์สไตล์ยุค New Normal ให้ได้มากที่สุด และหลังจากนี้ธนาคารจะยังคงเดินหน้าพัฒนาบริการเพิ่มเติมใน Phase 2 อาทิ เปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ขอหนังสือรับรองภาษีดอกเบี้ย
เงินฝาก ขอหนังสือรับรองภาษีดอกเบี้ยเงินกู้ แจ้งความประสงค์กู้เพิ่ม ตรวจสอบข้อมูลเครดิต รับเงินของขวัญปีใหม่ของธนาคาร (Cash Back) แจ้งขอหนังสือรับรองเพื่อเบิกค่าเช่าบ้านหรือขอหนังสือรับรองตามยอดที่เบิกได้ และนัดวันรับโฉนด เป็นต้น ซึ่งจะเริ่มให้บริการได้ภายในเดือนธันวาคม 2563 ทั้งนี้ ธอส. ตั้งเป้าหมายว่าในสิ้นปี 2563 จะมีจำนวนลูกค้าที่ทำธุรกรรมการโอนเงินและชำระหนี้เงินกู้ผ่าน GHB ALL เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 756,300 รายการ หรือเพิ่มขึ้น 100% เมื่อเทียบกับธุรกรรม ณ สิ้นปี 2562” นายฉัตรชัยกล่าว

นายฉัตรชัย ยังกล่าวถึงความคืบหน้าในการบรรเทาผลกระทบให้แก่ลูกค้าของธนาคารจากปัญหาโควิด-19 ว่า หลังจากที่ ธอส. ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าครอบคลุมทั้งการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย, พักชำระเงินต้น หรือ ลดอัตราดอกเบี้ย ผ่าน 10 มาตรการของธนาคาร โดยมีลูกค้าเข้ามาตรการเป็นจำนวนทั้งสิ้น 511,110 บัญชี วงเงินสินเชื่อ 430,439 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้ากลุ่มที่เข้ามาตรการที่ 5 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 4 เดือน จำนวน 236,531บัญชี วงเงินสินเชื่อ 179,843 ล้านบาท ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้ได้ทยอยครบกำหนดระยะเวลาการใช้มาตรการที่ 5 แล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม และสิงหาคม 2563 โดยสามารถกลับมาผ่อนชำระได้ตามปกติจำนวน 91,796 บัญชี เงินต้นประมาณ 65,000 ล้านบาท

ขณะที่ลูกค้าในมาตรการที่ 5 ที่ยังคงได้รับผลกระทบธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติมในระยะที่ 2 ผ่านมาตรการที่ 8.5 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยถึง 31 ตุลาคม 2563 โดยล่าสุด ณ วันที่ 22 กันยายน 2563 มีลูกค้าอยู่ในมาตรการที่ 8.5 จำนวน 39,546 บัญชี วงเงินสินเชื่อประมาณ 27,000 ล้านบาท ส่วนลูกค้าที่เคยเข้ามาตรการที่ 5 แล้วไม่สามารถกลับมาชำระได้ตามปกติและกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) มีจำนวนประมาณ 9,000 ล้านบาทหรือคิดเป็น 8.5% ของลูกค้าที่เข้ามาตรการ 5 ทั้งหมด ต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าอาจจะมี NPL อยู่ที่ประมาณ 25% ของลูกค้า ที่เข้ามาตรการ 5

“สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ธนาคารอยู่ระหว่างการติดต่อเพื่อประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คือ กลุ่มที่เข้ามาตรการที่ 8 พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 3 เดือน จำนวน 233,931 ราย วงเงินสินเชื่อ 209,863 ล้านบาท และมาตรการที่ 8.5 เนื่องจากเป็นมาตรการที่พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่มีความเปราะบางด้านรายได้ ธนาคารอยู่ระหว่างติดตามลูกค้าในกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะครบกำหนดการใช้มาตรการในเดือนตุลาคม 2563”นายฉัตรชัย กล่าว

นายฉัตรชัย ยังกล่าวอีกว่า และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนและสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้างรวมถึงปัญหาด้านรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ ทำให้ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2563 จึงได้มีมติขยายระยะเวลาความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ภายใต้ “มาตรการช่วยเหลือลูกค้าผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และ “โครงการ ธอส. ช่วยคนไทย ร่วมสร้างชาติ” ระยะที่ 2 เฉพาะลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการได้รับความช่วยเหลือใน 3 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 พักชำระเงินต้น 3 เดือน, มาตรการที่ 3 พักชำระเงินต้น 6 เดือน และมาตรการที่ 8 พักชำระเงินต้น 3 เดือน ซึ่งทั้ง 3 มาตรการจะสิ้นสุดระยะเวลาความช่วยเหลือในวันที่ 31 ตุลาคม 2563 ลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์ขอขยายระยะเวลาความช่วยเหลือด้วยการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยเพิ่มเติมไปจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2564 ซึ่งทั้ง 3 มาตรการที่ธนาคารขยายความช่วยเหลือในครั้งนี้ครอบคลุมจำนวนลูกค้าที่มีสิทธิ์ขยายระยะเวลาเป็นวงเงินสินเชื่อจำนวนกว่า 250,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ลูกค้าต้องแจ้งความประสงค์เพื่อขยายระยะเวลาผ่าน Application GHB ALL ได้ระหว่างวันที่ 1-29 ตุลาคม 2563 พร้อมแสดงหลักฐานเพื่อยืนยันว่ายังมีผลกระทบทางรายได้จริงให้ธนาคารพิจารณา อาทิ สลิปเงินเดือน หนังสือรับรองจากหน่วยงานต้นสังกัด ภาพถ่าย และ Statement เป็นต้น

นอกจากนี้ นายฉัตรชัย ยังกล่าวถึงกรณีแนวคิดที่ ธอส. จะจัดทำผลิตภัณฑ์สินเชื่อ Two-GEN หรือผลิตภัณฑ์ที่เปิดโอกาสให้เลือกผ่อนชำระได้ 2 generation หรือยาวนานสูงสุดถึง 70 ปีว่า แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นจากคณะกรรมการธนาคารได้มีนโยบายให้ ธอส. คิดรูปแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเป้าหมายหลักคือการช่วยเหลือให้ลูกค้าประชาชนสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ง่ายขึ้น ซึ่งการเปิดโอกาสให้ผู้กู้สามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระได้นานขึ้นถือเป็นแนวทางหนึ่งที่จะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้ โดยพิจารณาวงเงินให้กู้จากรายได้ของบิดา-มารดา ส่วนระยะเวลาการผ่อนชำระสามารถเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่สูงสุดไม่เกิน 40 ปี ขยายเป็น 70 ปี ด้วยการนำอายุของบุตรที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปมาเป็นผู้กู้ร่วม

“แนวคิดนี้จะทำให้จำนวนเงินงวดที่ลูกค้าผ่อนชำระรายเดือนลดลง จึงทำให้กรณีที่มีรายได้สุทธิจำนวนเท่าเดิม     แต่เมื่อผ่อนชำระได้นานขึ้น ก็จะมีโอกาสได้รับวงเงินสินเชื่อมากขึ้นเช่นกัน อาทิ กรณีวงเงินกู้ 1 ล้านบาท หากผ่อนชำระ 40 ปี เงินงวดจะอยู่ที่ประมาณ 5,000 บาท/เดือน แต่หากผ่อนได้นานสูงสุดถึง 70 ปี จำนวนเงินผ่อนชำระ       จะอยู่ที่ประมาณ 2,500-3,000 บาท/เดือนเท่านั้น และในอนาคตเมื่อลูกค้าได้มีบ้านเป็นของตนเองและครอบครัวแล้ว หากมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น หรือบุตรที่เป็นผู้กู้ร่วมมีรายได้เข้ามาเพิ่มเติมก็สามารถผ่อนชำระสูงกว่าเงินงวดที่กำหนดได้ ซึ่งจะทำให้สามารถผ่อนชำระได้หมดก่อน 70 ปีได้อย่างแน่นอน”นายฉัตรชัย กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธอส. ยังอยู่ระหว่างการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เพื่อนำเสนอให้คณะกรรมการธนาคาร รวมถึงกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทยพิจารณาความเหมาะสม พร้อมยืนยันว่าแนวคิดดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าประชาชนมีบ้านเป็นของตนเองได้มากขึ้นเท่านั้น โดยลูกค้าที่มีศักยภาพทางรายได้ ยังคงสามารถเลือกจำนวนปีที่ต้องการผ่อนชำระ อาทิ 15 ปี 20 ปี 30 ปี หรือ 40 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้สุทธิของผู้กู้ หรือราคาที่อยู่อาศัย และวงเงินกู้ที่ต้องการได้ตามปกติต่อไป

www.mitihoon.com