มิติหุ้น-บล.ไทยพาณิชย์ แนะจับตาตลาดมีแนวโน้มความผันผวนที่จะปรับตัวสูงขึ้นใน 4Q63 เนื่องจากปัจจัยเชิงบวกถูกรับรู้ไปแล้วและนักลงทุนหันมาให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านลบ กรอบการเคลื่อนไหวของ SET จะผันผวน จุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ 1,160 –1,200 จุด ชี้ข่าวดีความคืบหน้าวัคซีนโควิด-19 จะช่วยกระตุ้นให้ตลาดปรับตัวดีขึ้น โดย 4Q63 แนะนำ 3 ธีมการลงทุน Core Portfolio เลือกหุ้นลงทุนรายตัวและเน้นหุ้นกลุ่มเชิงรับ (defensive) ที่มีคุณภาพสูง เช่น BAM, BDMS, CBG, EGCO, GFPT ขณะที่ Tactical Portfolio เน้นหุ้นที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศที่มีคุณภาพดี เช่น AP, PTT และ TOP ส่วน S-curve Portfolio เน้นหุ้นขนาดเล็กที่มี story การเติบโตอย่างโดดเด่น และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่น AUCT, IIG, PRIME, SVI, WICE และ ZIGA ขณะที่เป้า SET index คาดปิดฉากสิ้นปี 2563 อยู่ที่ 1,300 จุด
นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด (SCBS) กล่าวว่า สภาพคล่องจำนวนมากจะส่งผลทำให้ภาวะเศรษฐกิจและราคาสินทรัพย์ปรับตัวสวนทางกันโดยเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ท่ามกลางโอกาสสูงขึ้นที่จะเกิดการระบาดรอบสองของโควิด-19 ซึ่งแพร่กระจายได้ง่ายขึ้นในฤดูหนาว นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่น่าจะมีผลมากนักเมื่อสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติ ความไม่แน่นอนจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และ Brexit ที่ไร้ข้อตกลง มีแนวโน้มที่จะส่งผลทำให้ตลาดผันผวน สำหรับประเทศไทย คาดว่า GDP จะหดตัวลง -7.8% ในปี 2563 จากประมาณการเดิมที่คาดว่าจะหดตัวลง -5.9% เพราะผลกระทบจากการฟื้นตัวช้ากว่าคาดของภาคการท่องเที่ยวรวมถึงหนี้เสียและอัตราการว่างงานที่สูงขึ้น เงินบาทมีแนวโน้มที่จะแข็งค่า
เมื่อมองภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกใน 4Q63 คาดว่าเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจะดูน่าเป็นห่วงมากขึ้น โดยอิงกับปัจจัยเสี่ยง 3 ประการ ได้แก่ 1. การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจะเป็นไปอย่างช้าๆ เปราะบาง และไม่แน่นอน ตัวเลขเศรษฐกิจอาจแสดงสัญญาณชะลอตัวสืบเนื่องมาจากความเสี่ยงที่จะเกิดการระบาดรอบสองของโควิด-19 ที่หลายๆ ประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ 2. นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาจจะตึงตัวขึ้น ถ้าโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี เนื่องจากไบเดนวางแผนที่จะปรับเพิ่มขาดดุลการคลังประมาณ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ใน 10 ปี เพื่อสนับสนุนการใช้จ่ายของรัฐในส่วนของสวัสดิการสังคมและโครงการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ทั้งนี้ ยังวางแผนจัดหาเงินทุนสนับสนุนการเพิ่มขาดดุลการคลังด้วยการเพิ่มรายได้ภาษีสู่ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 3. ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่สุด 2 ประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนระหว่างสหรัฐฯและจีนถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนระยะยาวของสหรัฐฯ ที่จะป้องกันไม่ให้จีนกลายเป็นประเทศมหาอำนาจ
ด้านประเทศไทย เศรษฐกิจไทยที่ปรับตัวลงดูเหมือนจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นสืบเนื่องมาจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และปัจจัยบวกอยู่ที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เนื่องจากโควิด-19 จะช่วยกระตุ้นให้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เร็วขึ้น ในกรณีของเศรษฐกิจไทยกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มท่องเที่ยวซึ่งหดตัวลงประมาณ 50% และกลุ่มขนส่งลดลง 39% โดยมีสาเหตุมาจากมาตรการห้ามการเดินทางเข้าประเทศ เนื่องจากสองกลุ่มนี้มีสัดส่วนค่อนข้างมากใน GDP ดังนั้นการหดตัวลงของสองกลุ่มนี้จึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นปัจจุบันเราจึงคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวลงมากขึ้นจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ -5.9% สู่ -7.8%
แนะนำการลงทุนโค้งสุดท้าย ซึ่งในวิกฤตย่อมมีโอกาส ปัจจัยบวกอยู่ที่การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เนื่องจากโควิด-19 จะช่วยกระตุ้นให้มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เร็วขึ้น และมองเป้า SET index โดยอิงกับปัจจัยพื้นฐาน คาดว่าจะอยู่ที่ 1,300 จุด แนะนำเน้นเลือกซื้อหุ้นรายตัว ดังนี้
- Core Portfolio ยังคงเน้นหุ้น defensive ที่มีคุณภาพสูง เช่น BAM, BDMS, CBG, EGCO และ GFPT
- Tactical Portfolio เน้นหุ้นที่ปรับตัวตามวัฏจักรเศรษฐกิจโลกและวัฏจักรเศรษฐกิจในประเทศที่มีคุณภาพดี เช่น AP, PTT และ TOP
- S-Curve Portfolio เน้นหุ้นขนาดเล็กที่มี story การเติบโตอย่างโดดเด่น และผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เช่น AUCT, IIG, PRIME, SVI, WICE และ ZIGA
www.mitihoon.com