มิติหุ้น – บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) “ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำและส่งมอบ Living Solutions เพื่อทุกเช้าที่ดี” หรือ SC ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ระดับ BBB+ แนวโน้มคงที่ จากบริษัททริสเรทติ้ง จำกัด เตรียมพร้อมเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ อายุ 2 ปี 9 เดือน ต่อผู้ลงทุนสถาบันและ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ด้วยอัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี และมีธนาคารกสิกรไทย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย และธนาคารทหารไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายในครั้งนี้
นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร เปิดเผยว่า SC ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อขออนุญาตและเสนอขายหุ้นกู้ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นกู้ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ อายุ 2 ปี 9 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.75% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณทุกๆ 100,000 บาท คาดว่าจะเสนอขายภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้บริษัทจะนำไปชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และ/หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ โดยทางบริษัทฯได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ BBB+ แนวโน้มคงที่ จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัดเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2562
โดยนายอรรถพล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมีผลการดำเนินงานเติบโตทั้งรายได้ กำไรและยอดขาย โดยมีรายได้จากการดำเนินงาน 7,861 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 757 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ที่มีรายได้ 6,678 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 597 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทมีกำไรสุทธิถึง 456 ล้านบาท เติบโต 52% เมื่อเทียบไตรมาส 1/2563 ส่วนยอด Presales ในช่วง 6 เดือนแรกบริษัททำสถิติยอดขายสูงสุดได้ถึง 8,202 ล้านบาทโดยมาจากโครงการแนวราบเป็นสัดส่วนหลัก ในปีนี้บริษัทมีโครงการเปิดใหม่เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด รวม 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,200 ล้านบาท ซึ่งเปิดขายในช่วง 6 เดือนแรก 5 โครงการ และ เปิดอีก 3 โครงการในไตรมาส 3 ได้แก่ โครงการแกรนด์ บางกอกบูเลอวาร์ด บางนา-อ่อนนุช โครงการเวนิว โฟลว์ ติวานนท์-รังสิต และ โครงการเวิร์ฟ สายไหม-พหลโยธิน ซึ่งทั้งโครงการใหม่และโครงการต่อเนื่องทุกระดับราคาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ จากการที่บริษัทเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลักซึ่งกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และด้วยผลิตภัณฑ์ของบริษัทและบริการหลังการขายที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับในตลาด รวมถึงการปรับกลยุทธทำการตลาดออนไลน์ ทำให้ยอดขายและรายได้จากโครงการแนวราบเติบโตได้ดี และช่วยให้การดำเนินงานของบริษัทที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ไม่มากนัก และ มีผลการดำเนินงานเติบโต โดยบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถทำรายได้ปี 2563 ได้ตามเป้าหมาย ขณะที่ความแข็งแกร่งของบริษัท ยังสะท้อนได้จากอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ระดับ BBB+ แนวโน้มคงที่ ซึ่งตอกย้ำสถานะของบริษัท ในการเป็นที่ยอมรับว่าเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวที่บริษัทเป็นผู้นำในตลาดนี้มาโดยตลอด
www.mitihoon.com