ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น”รายงานว่า บมจ.เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ หรือ NRF ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเครื่องปรุงรสอาหาร อาหารสำเร็จรูปพร้อมปรุง อาหารและเครื่องดื่มสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน และอาหารโปรตีนจากพืช ปัจจุบัน มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 2,000 ประเภทสินค้า และมากกว่า 500 สูตร จำหน่ายไปยังกว่า 25 ประเทศทั่วโลก
โดย NRF ได้เข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเปิดซื้อขายวันแรกเหนือจอง96.74 % หรือแตะ 4.45 บาท แตะที่ระดับ 9.05 บาท จากราคา IPO ที่ 4.60 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 1,564 ล้านบาท และมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 6,237 ล้านบาท
โกยเงินระดมทุนขยายกำลังผลิต
“นายแดน ปฐมวาณิชย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NRF เปิดเผยว่า การระดมทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขัน เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ และสร้างความแข็งแกร่งด้านเงินทุน โดยบริษัทมีแผนจะนำเงินจากการระดมทุนไปขยายกำลังการผลิต เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย และต่อยอดการเป็น Future of Food ในอุตสาหกรรมอาหารของโลก
NRF มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 30% ของกำไรสุทธิ ภายหลังการหักเงินทุนสำรองต่างๆ ตามกฎหมายและเงินสำรองอื่น อย่างไรก็ตาม การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ โดยจะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน ฐานะการเงิน สภาพคล่อง และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงาน และการบริหารงานของบริษัท
โดยหลัง IPO จะมีผู้ถือหุ้นใหญ่ ได้แก่ กลุ่มครอบครัวปฐมวาณิชย์ ถือหุ้น 68.2% และบริษัท ดุสิต ฟู้ดส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC ถือหุ้น 5.0% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO มาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (bookbuilding) ของผู้ลงทุนสถาบันในแต่ละลำดับราคา โดยตั้งเป็นช่วงราคา ซึ่งคิดเป็นอัตราราคาต่อกำไร (Price to Earnings Ratio : P/E) เท่ากับ 82.71 – 95.12 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิใน 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ 23 ก.ย.62- 21 ก.ย.63) ซึ่งเท่ากับ 65.6 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ คิดเป็นกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.05 บาท (Fully Diluted Earnings)
กำไรโต100%
ด้าน “บล.บัวหลวง” เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยแนะนำ “ซื้อ” NRF มองจุดแข็งของบริษัท มาจาก 1.ธุรกิจส่งออก ethnic food ไปยัง 25 ประเทศ ที่เติบโตแข็งแกร่ง ซึ่งบริษัทมีทั้งแบรนด์ของตัวเอง และ OEM ,2. New S-Cure ในธุรกิจอาหารจากพืช ซึ่ง NRF เป็นบริษัทเดียวใน SET ที่มีธุรกิจนี้ ปัจจุบันสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 6.4% ละตั้งเป้าจะเพิ่มให้เป็น 30-40% ในปี 2024 ซึ่งบริษัทมีพันะมิตรระดับโลก
อีกทั้ง 3.บริษัทเริ่มธุรกิจใหม่อีก 2 หน่วย คือ Functional product และ e-commerce ซึ่งทั้งสองธุรกิจนี้จะช่วยเติมเต็มธุรกิจอาหารในระดับโลก ดังนั้นปี 64 คาดกำไรเติบโต 100% และเฉลี่ย 52%/ปี ในช่วงปี 63-65
www.mitihoon.com