มิติหุ้น- PRIME เดินเกมเทกโอเวอร์โรงไฟฟ้า แถมจัดทัพชิงโรงไฟฟ้าชุมชน หวังปั๊มโรงไฟฟ้าเข้าเป้า 1,000 MW ชี้ผลงานครึ่งหลังปี 63 โตฉลุย รับทรัพย์โรงไฟฟ้ามีศักยภาพเพิ่มขึ้น มั่นใจทั้งปี 63 กำไรนิวไฮ รายได้พุ่งทะยาน 1,000 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าว “มิติหุ้น” รายงานว่า บมจ.ไพร์ม โรด เพาเวอร์ หรือ PRIME ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้า จากพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย “นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าภายใน 5 ปี (64-68) มีโรงไฟฟ้าในมือเพิ่มเป็น 1,000 MW ซึ่งเป็นการลงทุนทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น มาเลเซีย เวียดนาม เมียนมา และอุซเบกิสถาน
โดยบริษัทมีแผนศึกษาการเข้าทำดีลซื้อกิจการ (M&A) และร่วมทุน รวมถึงเตรียมความพร้อมมีส่วนร่วมใน “โครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (ควิกวิน)” ของภาครัฐ เพื่อเสริมความแกร่งของพอร์ตบริษัท คาดว่าจะเห็นความชัดในระยะถัดไป
ปั๊มรายได้นิวไฮ1,000ล.
ส่วนแนวโน้มผลงานช่วงครึ่งหลังปี 63 จะเติบโตมากขึ้น เพราะบริษัทจะรับรู้รายได้จากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น เพราะศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าที่มากขึ้น ซึ่งทั้งปี 63 มั่นใจกำไรสุทธิทำนิวไฮและรายได้รวมแตะที่ระดับ 1,000 ล้านบาท หรือเติบโตมากกว่า 50% จากปีก่อน
โดยในปี 63 บริษัทตั้งเป้ามีกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 400 MW จากปัจจุบัน 287 MW ซึ่งในจำนวนทั้งหมดนี้ ได้จำหน่ายไฟฟ้า (COD)แล้ว 179 MW และอยู่ระหว่างพัฒนาและก่อสร้าง 108 MW โดยโรงไฟฟ้าทั้งหมด แบ่งเป็นโซลาร์ฟาร์มในไทย 132.3 MW ในประเทศญี่ปุ่น 68.2 MW ในประเทศไต้หวัน 8.5 MW
ส่วนความคืบหน้าโครงการโซลาร์ฟาร์มที่ประเทศกัมพูชา หลังจากที่บริษัทได้ชนะการประมูลโครงการ National Solar Park เมื่อปลายปี 62 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศกัมพูชา กำลังการผลิตติดตั้ง 78 MW และมีสัญญาจำหน่ายไฟฟ้า 60 MW คาดโครงการนี้จะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อม COD ภายในไตรมาส 2/65
ขยายไลน์ธุรกิจ Solar Rooftop EPC
พร้อมกันนี้ บริษัทได้เปิดตัวธุรกิจใหม่ คือ “ธุรกิจรับเหมาติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้า พลังงานแสงอาทิตย์ บนหลังคา (Solar Rooftop EPC)” ล่าสุดมีลูกค้าเข้ามาเจรจาเกือบ 30 โครงการ จากปัจจุบันมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วกับโครงการที่กำลังจะทำสัญญารวมกว่า 100 ล้านบาท โดยภายในปี 63 บริษัทตั้งเป้าจะทำสัญญาให้ได้มูลค่ารวม 300 ล้านบาท แต่อาจจะก่อสร้างแล้วเสร็จและรับรู้รายได้ภายในปี 2564
โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมที่มีผลประกอบการดี มีความต้องการใช้ไฟฟ้าสูง และระบบ Solar Rooftop จะช่วยลดค่าไฟซึ่งเป็นต้นทุนของธุรกิจได้อย่างมีนัยยะสำคัญ
www.mitihoon.com