พรินซิเพิล มองธุรกิจกลุ่ม New Economy หนุนจีนเติบโตต่อเนื่อง ชูกองทุนหุ้นจีน PRINCIPAL CHEQ ผลตอบแทนเด่นย้อนหลัง 6 เดือน 24.60%  กลยุทธ์เพิ่มลงทุนจีนยุคใหม่และธุรกิจ Cloud สร้างผลตอบแทนเพิ่ม 

56

มิิติหุ้น-บลจ. พรินซิเพิล มองเศรษฐกิจจีนแข็งแกร่งและมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขับเคลื่อนของธุรกิจในกลุ่ม New Economy ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง และการก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัล (Digitalized Society) ที่มี COVID-19 เป็นปัจจัยเร่ง ชูกองทุนเปิดพรินซิเพิล ไชน่า อิควิตี้ (PRINCIPAL CHEQ) ให้ผลตอบแทนย้อนหลัง เดือน (ณ กันยายน 2563) 24.60% เน้นกลยุทธ์การลงทุนในธุรกิจเติบโต เพิ่มการลงทุนอีก กองทุนในธีมจีนยุคใหม่ New Economy ธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนเข้าสู่ยุคใหม่ และธีม Cloud Computing ธุรกิจที่สร้างรายได้จากการให้บริการระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง 

นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนพรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า ทีมจัดการการลงทุน บลจ. พรินซิเพิล มีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นจีน เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจจีนสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง เช่น สินค้านวัตกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต เป็นต้น ตลอดจนการเติบโตของภาคการบริการและสังคมเมืองยุคใหม่ (China’s New Economy) ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ

ขณะที่ธุรกิจในกลุ่ม New Economy ดังกล่าว เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นและมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในอนาคต โดยการสนับสนุนจากภาครัฐและนโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน รวมถึงผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 ในช่วงที่ผ่านมา เป็นปัจจัยเร่งสำคัญที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศจีนและสังคมทั่วโลก ก้าวเข้าสู่ Digitalized Society หรือสังคมยุคดิจิทัล อาทิ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระเงิน, การเดินทาง ฯลฯ และอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนทั่วโลกแบบถาวร  

“ประเทศจีนมีพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและการเติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา จากปี 2558 ที่จีนเป็นฐานการผลิตเพื่อป้อนสินค้าแก่ทั่วโลกโดยที่ยังคงต้องพึ่งพาต่างประเทศ ในปี 2568 จีนพร้อมก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตและพัฒนาสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงโดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ เช่น สินค้าทางเทคโนโลยี, อากาศยาน, หุ่นยนต์, การเกษตร, เทคโนโลยีการแพทย์ ฯลฯ และคาดว่าในปี 2578 จีนจะกลายเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีของโลก เช่น เทคโนโลยี 5G, ระบบ AI (ปัญญาประดิษฐ์), ระบบ Internet of Things (อินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงทุกสรรพสิ่ง) นอกจากนี้น่าจับตามองว่าเมื่อถึงปี 2592 ซึ่งครบ 100 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน จะยกระดับประเทศไปอยู่ที่จุดไหน” นายวิน กล่าว 

นายวิน กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน บลจ. พรินซิเพิล มีกองทุนเปิดพรินซิเพิล ไชน่า อิควิตี้ หรือ Principal China Equity Fund (PRINCIPAL CHEQ) ซึ่งเป็นกองทุนรวมประเภท Fund of Funds ที่เข้าลงทุนในกองทุนรวม และ/หรือ กองทุน Exchange Traded Fund (กองทุน ETF) ในต่างประเทศ ที่มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนของบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งหรือดำเนินธุรกิจในประเทศจีน กองทุนสามารถทำผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยมีอัตราผลตอบแทนย้อนหลัง เดือนอยู่ที่ 24.60% และนับจากวันที่ มกราคม – 30 กันยายน 2563 (YTD) มีอัตราผลตอบแทน 14.50% เทียบกับดัชนีเปรียบเทียบ 28.45% และ 26.49% ตามลำดับ 

ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL CHEQ มุ่งเน้นการบริหารจัดการแบบ Active Management (บริหารจัดการเชิงรุก) เน้นจัดสรรเงินลงทุนในกองทุนหลากหลายที่มีคุณภาพอย่างยืดหยุ่น (Dynamic) โดยพอร์ตหลัก (Core Port) จะเน้นการลงทุนในกองทุน UBS Fund MGMT LUX China A Opportunity Fund l A1 บริหารงานโดย UBS Asset Management ที่เน้นลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับการจัดอันดับมอร์นิ่งสตาร์ ดาว กองทุน  iShares FTSE A50 China Index ETF ซึ่งเป็นหุ้นในกลุ่ม A-Share ซึ่งเป็นศูนย์รวมธุรกิจใหม่ของประเทศจีนที่มีจำนวนหลักทรัพย์และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดใหญ่ที่สุดในจำนวนหุ้นจีนทั้งหมด เน้นลงทุนในบริษัทที่มีพอร์ตรายได้จากในประเทศเป็น ส่วนใหญ่เพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบสงครามการค้า  ในขณะเดียวกัน  เสริมการลงทุนในกองทุนที่สามารถสร้างผลตอบแทนในแต่ละขณะได้ โดยมีผู้จัดการกองทุนในประเทศทำหน้าที่คัดเลือกกองทุนและปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับภาวะตลาด  

โดยปัจจุบันเน้นลงทุนในกองทุนที่ได้รับประโยชน์จากธีม New Economy ล่าสุดผู้จัดการกองทุนได้ปรับกลยุทธ์เพิ่มกองทุนหลักที่เข้าลงทุนอีก กองทุนใน Satellite Port (พอร์ตรอง) เพื่อคาดหวังผลตอบแทนที่ดียิ่งขึ้น ได้แก่ กองทุน PREMIA CSI CAIXIN CHINA NEW ECONOMY ETF ที่มีกลยุทธ์เน้นการลงทุนในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการปฏิรูปเศรษฐกิจจีนเข้าสู่ยุคใหม่ โดยคัดเลือกหุ้นประมาณ 300 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์เซียงไฮ้และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ที่มีฐานะทางการเงินและการเติบโตอย่างมีคุณภาพ เน้นลงทุนในเซ็กเตอร์ไอที เฮลท์แคร์ สินค้าอุปโภคบริโภค ภาคอุตสาหกรรม และบริการด้านสื่อสาร และกองทุน Global X China Cloud Computing ETF ที่เน้นการลงทุนในธุรกิจที่สร้างรายได้จากการให้บริการระบบคลาวด์ คอมพิวติ้ง (Cloud Computing) เพื่อการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นธีมที่กำลังได้รับความสนใจในการลงทุนเพิ่มขึ้น  

ทั้งนี้ ผู้จัดการกองทุนต่างประเทศจะเป็นผู้ปรับกลยุทธ์ในการเพิ่มการลงทุน โดยจะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานต่างๆ อาทิ ภาพรวมเศรษฐกิจและแนวโน้มอุตสาหกรรม, นโนบายภาครัฐ, ความผันผวนของราคาหุ้น, การเติบโตของรายได้ในเซกเตอร์ที่ดำเนินธุรกิจ ฯลฯ ตัวอย่างของหุ้นในกลุ่ม New Economy และ Cloud Computing เช่น Gree Electric Appliance, Inc of Zhuhai ผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศรายใหญ่ที่สุดของโลก, Meituan-Dianping ผู้นำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์ม ที่รวบรวมบริการกว่า 200 รายการในแอปพลิเคชันเดียว, Hundsum Technologies Inc. บริษัท Fintech ชั้นนำในประเทศจีน เป็นต้น 

กองทุนเปิดพรินซิเพิล ไชน่า อิควิตี้ หรือ Principal China Equity Fund (PRINCIPAL CHEQ) กำหนดสั่งซื้อขั้นต่ำ 1,000 บาท ทั้งนี้ สามารถติดต่อขอรับหนังสือชี้ชวนหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ ตัวแทนสนับสนุนการขายและรับซื้อคืน และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน พรินซิเพิล จำกัด โทร. 02 686 9595 หรือ www.principal.th หรือ Principal TH Mobile App

www.mitihoon.com